วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตอนที่ 6 : โรงเรียน..วิถีธรรม ?? (2)

 


สวัสดีครับ..ท่านผู้อ่านที่เคารพรัก… กลับมาพบกันในตอนใหม่แล้วนะครับ..

ตอนใหม่ซึ่งเป็นตอนที่ 6 นี้ ห่างหายจากตอนที่แล้วไปนานพอสมควร อันเนื่องมาแต่ติดช่วงปิดเทอมใหญ่ Summer 54 ที่ผ่านมาครับ

ช่วงนี้เปิดเทอมแล้ว ก็กลับมารายงานตัวและเริ่มโพสท์งานเขียนบล็อกต่อไปตามเดิมครับ

แล้วตอนที่ 7, 8, 9,… ไปเรื่อย ๆ.. ก็จะทยอยโพสท์ต่อเนื่องแบบไม่ขาดช่วงไปจนตลอดเปิดเทอมเลยครับ.


 

เริ่มลยนะครับ….

 

 

เมื่อตอนที่แล้ว (ตอนที่ 5).. ผมจบลงด้วยการบอกว่า…

 

“เห็น.. 3 ตัวอย่าง..ข้างต้นนี้แล้ว ทำให้อดนึกถึง 2 ท่านนี้ไม่ได้ครับ !

 

 ท่านหนึ่งคือ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

 ฯพณฯ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ครับ

 

อีกท่านหนึ่งคือ ท่านเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)

 ดร.สุเมธ แย้มนุ่น ครับ”

 

SAM_1725 crop2

 

ทบทวนกันนิดหนึ่งครับ...

 

3 ตัวอย่างเบื้องต้น... เป็น 3 ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นผลลัพธ์จากการทำงานที่ขาด  “ความคิดเชิงระบบ”  (system thinking) ของกลุ่มผู้ปฏิบัติที่ทำให้เกิดผลงานดังกล่าวขึ้นในมหาวิทยาลัยแถวแยกบ้านธาตุ ที่มีชื่อว่า.. “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” (รายละเอียด.. ดูได้จากในตอนที่ 5 ครับ)image

image

 

 

เป็น 3 ตัวอย่างเบื้องต้น ที่ยกมาแสดงให้เห็นอย่างประจักษ์แจ้งจริงว่า.. ถ้าไม่ได้ฝึกพัฒนาและสร้าง “ความคิดเชิงระบบ” ให้ติดตัวไปกับเด็ก ๆ ตั้งแต่เยาว์วัยแล้ว...ที่สุด.. “เด็ก ๆ” เหล่านั้นก็จะถูกผลิตให้เติบโตกลายไปเป็น “ผู้ใหญ่” ที่ไร้ความคิดเชิงระบบออกสู่สังคม..

และกลายมาเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างปัญหาให้บ้านเมืองด้วยการทำงานที่สร้างผลงานอย่างปราศจากการใช้  “ความคิดเชิงระบบ” (system thinking) ในการทำงานนั้น...ดังเช่นผู้ใหญ่หลายคนในมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งหนึ่งที่อยู่แถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร.. ที่ได้สร้าง 3 ผลงานตัวอย่างเบื้องต้น (ความจริงยังมีมากกว่านี้) ฝากไว้ให้เห็นจริงในดินแดนของมหาวิทยาลัยราชภัฏดังกล่าว

 

โดย 3 ตัวอย่างผลงานเบื้องต้นที่สะท้อนการขาดความคิดเชิงระบบในการทำงานของ “กลุ่มผู้ปฏิบัติที่ลงมือทำ” กับ “ตัวผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ที่เป็นผู้อนุมัติและผู้ดูแลรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทุกตารางนิ้วของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ทั้งหมดนั้น...  ได้แก่

 

1. การทำ “รั้ว” และ “ประตู” ให้ “โรงเรียนวิถีธรรม” แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร,  

2. การปลูก “มะละกอ” ผสมมั่วกับ “ลั่นทม” (ลีลาวดี),  และ..

3. การปลูก “ผัก” ผสมกับ “ไม้ดอก”  กลายเป็นทั้ง “ระบบสวนครัว” กับ “ระบบสวนหย่อม” อยู่ในที่เดียวกันภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้

 

image

 

ใช่ครับ...

การเห็น 3 ตัวอย่างเบื้องต้นดังกล่าวที่เป็นผลงานจาก “มันสมอง” ของสถาบันการศึกษาระดับ “อุดมศึกษา”  ในสังกัด “สกอ.”  และ  “กระทรวงศึกษาธิการ”  ที่ตั้งอยู่บริเวณแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร อันมีชื่อว่า
“มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร”

ย่อมทำให้สังคมยากที่จะไม่นึกไปถึง 2 ท่านดังกล่าวในขณะนี้ได้

 

การปล่อยให้สถาบันการศึกษาในสังกัดและในความรับผิดชอบผลิตผลงานดังเช่น 3 ตัวอย่างที่เอ่ยมาในตอนที่แล้ว..ออกมาให้สังคมและประชาชนคนไทยทั้งประเทศแลเห็นเช่นนี้ ย่อมเป็นความถูกต้องชอบธรรมแล้วที่ทั้งสังคมจะต้องมุ่งนึกถึงและเพ่งมองตรงไปที่กระทรวงและหน่วยเหนือต้นสังกัดของสถาบันการศึกษาเจ้าของผลงาน 3 ตัวอย่างดังกล่าวนั้น

เพราะจะให้สังคมและประชาชนมุ่งไปนึกถึงกระทรวงมหาดไทย, สาธารณสุข, หรือ กลาโหม ฯลฯ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้าน “การจัดการศึกษา” ดังกรณี 3 ตัวอย่างนี้ ก็เห็นจะไม่ได้

 

และถ้าห้ามสังคมกับประชาชนไม่ให้ไปนึกถึง นั่นก็เท่ากับปล่อยให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในสังกัดทั่วประเทศนึกอยากจะผลิตผลงานแบบไหนออกมาก็ได้ ชนิดที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ (responsibility) อะไรต่อสังคมว่าสิ่งที่สร้างที่ผลิตออกมานั้นจะส่งผลกระทบเป็นความเสียหายเช่นไรต่อคนในสังคมวงกว้างบ้าง,

ทั้งยังจะปล่อยให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ไม่ต้องคำนึงถึงเรื่อง “คุณภาพ” ในการผลิตขององค์กร  กับทั้งไม่ต้องสนใจถึงเรื่องความถูกต้องเหมาะสมดีงามในการจะทำอะไรออกสู่สายตาสังคมไทย, 

และยิ่งจะทำให้ผู้บริหารสถาบันการศึกษาไม่ต้องมีสำนึกยึดโยงอยู่กับเรื่องของ accountability ใด ๆ ในการบริหารจัดการงานสถาบันการศึกษาเลย..ว่านักศึกษาหรือผู้มาเล่าเรียนจะได้รับแบบอย่างแห่งการเรียนรู้ที่ “ดี” หรือ “เลว” จากสถานศึกษาแห่งนั้นติดตัวไปทำงานให้สังคมในภายภาคหน้าเมื่อจบออกไป..ดังหลายตัวอย่างที่เกิดขึ้นให้เห็นจริงที่สถาบันการศึกษาชื่อ “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ตามที่แสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องในตอนก่อน ๆ ที่ผ่านมาแล้ว

 

image

 

ซึ่งก็คงจะเห็นกันได้อย่างแจ่มชัดว่า..การพยายามห้ามสังคมและประชาชนภายนอกรั้วสถาบันการศึกษาไม่ให้ไปนึกถึง “กระทรวงศึกษาธิการ” และหน่วยงานต้นสังกัดของสถาบันการศึกษา..จนทำให้สถาบันการศึกษาบริหารงานและจัดการศึกษาไปแบบจะทำอะไรออกมาก็ได้โดยปราศจาก accountability (ดังที่กล่าวมาข้างต้น และดังเช่น 3 ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงที่มหาวิทยาลัยแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร)..นั้น..ย่อมส่งผลเป็นสิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นทั้งต่อตัววงการศึกษาที่มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบทั้งหมดเอง และต่อตัวสังคมไทยที่จะต้องเป็นผู้บริโภคผลผลิตที่ออกมาจากวงการศึกษาอันบิดเบี้ยวเสียหายไร้ความสมบูรณ์ดังสินค้ามีตำหนินั้นด้วย

 

image

 

ตรงข้าม...

การทำให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงและส่งเสริมให้มีการนึกถึงกระทรวงศึกษาธิการและต้นสังกัดผู้รับผิดชอบในสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งมาก ๆ  

จะยิ่งเป็นการทำให้กระบวนการ “การตรวจสอบ”  สถาบันการศึกษานั้น ๆ จากสังคมภายนอกได้ทำงานตามหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนและจะยังประโยชน์สูงสุดให้เกิดแก่การพัฒนาการศึกษาของชาติและการพัฒนาตัวกระทรวงศึกษาธิการเองให้ล้ำหน้ากว่ากระทรวงอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ เพราะได้รับข้อมูล feedback จากสังคมกลับมาแก้ไขปรับปรุงการดำเนินงานภายในกระทรวงตนเองให้พัฒนาก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

และสำหรับตัวสถานศึกษาต่าง ๆ เอง ก็จะไม่ถูกปล่อยให้เป็นแดนสนธยาที่ไร้การตรวจสอบจากสังคมและประชาชน..จนเที่ยวทำอะไรออกมามั่ว ๆ, ไร้ยางอาย, ล้าหลัง..และขาดคุณภาพในการบริหารจัดการสถาบันการศึกษาอย่างหนัก..

แล้วที่สุดก็ส่งผลเป็นความเสียหายให้กับทั้งองค์กรและสังคมส่วนรวมตามมา ดังเช่นตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร ตามที่เอ่ยถึงตอนต้นนั่นแหละครับ

 

image

 

 

ดังนี้แล้ว จึงกล้าบอกได้ว่า การรับรู้และการตรวจสอบเนื้อหาการดำเนินงานของสถาบันการศึกษาจากสังคมและประชาชนภายนอก คือคำตอบหนึ่งที่จะทำให้ “การศึกษาไทย” มุ่งไปสู่เป้าหมายที่ดีงามถูกต้องและสามารถช่วยสร้างสรรค์จรรโลงประเทศชาติได้จริง (ไม่ใช่หลอก ๆ และไม่เคยจริง..แบบที่ผ่าน ๆ มา)

เพราะการจะหวังให้ภายในสถาบันการศึกษามีการ “ตรวจสอบกันเอง” นั้น เห็นทีจะยากมาก..!!

ขอให้เลิกหวังได้..ถ้ายังปล่อยให้อยู่ในระบบและวัฒนธรรมของการบริหารการศึกษาแบบเดิม ๆ เว้นแต่ในระดับชาติจะมีการไปรื้อปรับระบบและไปแตะตัวโครงสร้างใหญ่ของการจัดการศึกษาชาติให้เกิดการขยับเขยื้อนเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่จนสามารถล้มระบบและวัฒนธรรมการบริหารการศึกษาในสไตล์แบบเดิม ๆ ได้ จึงจะพอมีความหวังกับการตรวจสอบกันเองของคนภายในสถาบันการศึกษาว่าสามารถจะนำมาใช้ได้อย่างมั่นใจและน่าเชื่อถือจากสังคม

 

ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะผมมีประสบการณ์ในเรื่องนี้ดีพอสมควรครับ…

เป็นประสบการณ์จริงที่ได้มีโอกาสเห็นมายาวนานใน “มหาวิทยาลัยแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร” ที่มีคณะกรรมการประเภท “ตรวจสอบกันเอง” นี้เกิดขึ้นอย่างยุบยับหลายองค์คณะ.. ซึ่งช่างสรรหา ช่างแต่งตั้งกันมาอย่างสวยหรูเหลือเกิน..เพื่อจะ “บอก” (หรืออันที่จริง “หลอก”) สังคมว่า ได้มีการทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงานมหาวิทยาลัยของผู้บริหารมหาวิทยาลัยแล้วนะ

 

103_1876 crop

 

แต่ไม่รู้ตรวจสอบกันอีท่าไหน ผลจึงออกมาเป็นรูปธรรมชนิดมีประจักษ์พยานของจริงเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยดังกรณี 3 ตัวอย่างตามที่เอ่ยมาตอนต้น..ให้คนเห็นตำตาอยู่เรื่อย ๆ

 

image

 

ถ้าตรวจสอบจริงและถูกต้องในวิธีการ..จะไม่มีทางที่องค์กรใดจะปล่อยให้มีผลงานดัง 3 ตัวอย่างที่กล่าว..(และอีกมากมายหลายตัวอย่าง)..โผล่มาเกิดขึ้นภายในองค์กรนั้น ๆ ได้

 

image

image

 

วัฒนธรรมการตรวจสอบกันเองของคนภายในสถาบันการศึกษา จึงเป็นการตรวจสอบแบบ “ลูบหน้าปะจมูก”  และตรวจสอบแบบ “วงเหล้า” ที่ตรวจสอบแบบคุยกันวนเวียนอยู่ในกลุ่มผลประโยชน์ส่วนตัวอันคับแคบของพวกตนเอง

ซึ่งก็จะมีแต่เรื่องที่พากันเออออห่อหมก ชูคอ..ยกยอ และเห็นดีเห็นงามกันในหมู่พวกเดียวกันเอง โดยไม่รู้ว่าที่ “ดี” และ “งาม” จริง ๆ ของสังคมโลกภายนอกอันกว้างใหญ่กว่ากะลาใบเล็ก ๆ ที่เรียกว่าสถานศึกษาซึ่งพวกตนเองใช้เป็นที่ซุกหัวหลบกันอยู่ภายในนั้น..เขาเป็นยังไงกัน,  และเขามีมาตรฐานสากลกันอย่างไรที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดว่าแบบไหน..แค่ไหน..ถึงจะเรียกว่า “ดี”..ว่า “งาม”

 

image

 

 

วัฒนธรรมการตรวจสอบกันเองของสถาบันการศึกษาในลักษณะเช่นที่ว่ามาข้างต้นนี้ จึงไม่ใช่วัฒนธรรมการตรวจสอบในความหมายของคำว่า “ตรวจสอบ” แบบของฝรั่งที่ไปลอกแบบเอาของเขามาใช้อย่างแท้จริง..ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบที่มาจาก “คณะกรรมการตรวจสอบ” ชุดต่างๆที่ตั้งกันขึ้นมาเอง หรือจากตัว “สภามหาวิทยาลัย” ที่มีหน้าที่ในเรื่องนี้โดยตรง ก็ล้วนแล้วแต่ถูกพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่คำตอบ, ไม่ได้ผล, และล้มเหลวสูง !!

เพราะยิ่งให้พวกนี้ตรวจสอบ..ยิ่งมีแต่ผลงานพิลึกพิลั่น เสียหาย น่าอับอาย และเลวร้าย..ออกมาปรากฎในสถาบันการศึกษาอยู่เนือง ๆ อย่างปราศจากความรับผิดชอบใด ๆ ในผลงานแย่ ๆ นั้น

โดยเฉพาะ สถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แถวแยกบ้านธาตุ ของ จ.สกลนคร ที่ยิ่งให้พวกกันเองเหล่านี้ตรวจสอบ  ก็มีแต่จะยิ่งทำให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้ล้าหลัง เสื่อมทรุด กลายเป็นมหาวิทยาลัยชั้น 2, ชั้น 3, ชั้น 4,....ถอยหลังลงไปเรื่อย ๆ อย่างชนิดหาความก้าวหน้าที่แท้จริงและยั่งยืนได้ยาก !!

ที่สุด.. ระดับของ มหาวิทยาลัย ณ แยกบ้านธาตุ แห่งนี้ ก็คงถูกจัดให้ลดลงไปเป็นได้แค่ Low Grade University ที่หมดเครดิต, ไร้ความเชื่อถือ, และหาความเชื่อมั่นไม่ได้จากสังคมอีกต่อไปในอนาคต..!!

 

ดังนั้น เราจึงต้องหันมาช่วยให้สังคมภายนอกได้มีส่วนในการตรวจสอบการดำเนินงานของสถาบันการศึกษาและถามหา “accountability” ในการบริหารจัดการของ “ผู้บริหารสถาบันการศึกษา” ต่าง ๆ เพิ่มเติมจากแบบเดิม ๆ ที่ตรวจสอบกันเอง เช่น ใช้สื่อ, ใช้อินเทอร์เน็ต, ใช้ประชาคมของชุมชน ฯลฯ ให้เข้มข้นขึ้นนี่แหละครับ..ที่จะเป็นคำตอบและทางออกสำหรับการพัฒนาคุณภาพให้บังเกิดกับวงการศึกษาไทยได้อย่างแท้จริง.. 

ทั้ง.. “ฟันธง” !!.. และ “คอนเฟิร์ม”..!! ครับ !

 

 

image

 

นี่เป็นรถของคนเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร (กข 7272) ที่ขับมาเองครับ.. 

คันอื่น ๆ (ในวงกลม) ก็เป็นรถของคณะทีมผู้บริหารมหาวิทยาลัยนี้เช่นกันครับ.. (ของรองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา)... แต่คนละวัน..คนละเหตุการณ์

 

เวลาที่ผ่านไปเห็นภาพเหล่านี้ ก็อดรู้สึกนึกคิดในใจไม่ได้ว่า..

เออ..! หนอ..!.. คนที่เป็นถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัย.. หรือผู้บริหารสถาบันทางการศึกษาระดับอื่น ๆ… หรือผู้บริหารองค์กรต่าง ๆ ทุกแห่งในประเทศไทย เขาจะเป็นกันอย่างนี้หมดหรือเปล่าหนอ ?

คือไม่ต้องรู้สึกรู้สา..หรือต้องมีความละเอียดอ่อนอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสถาบันหรือองค์กรตัวเอง..

อย่างเช่น..แปลงผักกาดหอมที่โผล่ขึ้นมากลางสวนหย่อมหน้าหอประชุมและหน้าเรือนประทับฯในมหาวิทยาลัยตนเอง..แม้ว่าอยู่ใกล้ตัวเองแค่ปลายจมูกอย่างที่เห็น..

ขับรถมาร่วมงานที่หอประชุม.. จอดรถใกล้ชิดแปลงผักกาดหอมขนาดนั้น.. พองานเสร็จก็ขับรถกลับ..แล้วก็ปล่อยทิ้งสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ บริเวณนั้นให้เป็นไปเหมือนเดิมตามยถากรรม..แล้วแต่ใครจะทำ..จะปลูกอะไร..ก็ไร้สิ้นซึ่งความสนใจ

 

แค่นี้เองละหรือ..สำหรับคนที่เป็นถึงอธิการบดีและคณะผู้บริหาร..??

มิน่าเล่า..ผักกาดหอมมันถึงได้งามเอา..งามเอา..

และอยู่มาได้เรื่อย ๆ เป็นหลายปี

 

เอาภาพเหล่านี้มาให้ดูเพื่อต้องการสื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันว่า..

คนเป็นถึงอธิการบดีและผู้บริหารระดับรอง ๆ ลงมา..ยังปล่อยให้เกิดปรากฎการณ์ผักกาดหอมหน้าหอประชุมและเรือนประทับฯได้เรื่อย ๆ ยาวนาน..ทั้ง ๆ ที่ได้มีโอกาสขับรถมาถึงสถานที่จริงและอยู่อย่างใกล้ชิดแปลงผักที่สุดตามที่เห็นจากภาพแล้ว..

เรื่องจะหวังให้อธิการบดีคนนี้ และทีมคณะผู้บริหารระดับรอง ๆ ลงมาชุดนี้..มีความใส่ใจอย่างจริงจังและจริงใจในกิจการอื่นๆของมหาวิทยาลัยที่สำคัญและยิ่งใหญ่กว่าเรื่องผักกาดหอมนี้..

คงเป็นไปได้ยากยิ่ง..!!

 

และความคิด..ความรู้สึก..ที่เป็นการเรียนรู้ทิ้งท้ายของผมเมื่อเห็นภาพเหล่านี้..ก็คือ..

ต้องเป็นคนมีคุณสมบัติแบบนี้ล่ะหรือ..ถึงจะมาเป็นผู้นำ..ผู้บริหารสถาบันทางการศึกษา หรือองค์กรประเภทอื่น ๆ ในประเทศนี้ได้ ?

แปลว่า..ถ้าใครในประเทศนี้จะมาเป็นผู้บริหารองค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กรทางการศึกษา อย่างเช่น อธิการบดี หรือรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัย..ก็จะต้องฝึกตัวเองให้มีคุณสมบัติ...มี Qualify ตามแบบของอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร..ดังภาพเหตุการณ์ข้างต้น..อย่างงั้น..ใช่ไหม..??

 

วังเวงกับอนาคตของประเทศไทยเรา..จริง ๆ ครับ !!

 

และไม่รู้ซิครับ..ในใจผมตอนนี้..

ให้นึกหยามเหยียด..ดูถูก..ดูหมิ่น..ดูแคลน..คนเป็นอธิการบดี, รองอธิการบดี, และครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัยของประเทศไทย..ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารองค์กร..แต่มี Qualify ที่ทำให้เกิดแปลงผักกาดหอมต่อหน้าต่อตาตัวเองตามภาพดังกล่าว...อย่างบอกไม่ถูกครับ.

 

 

เช่นนี้แล้ว.. เมื่อได้เห็น 3 ตัวอย่างเบื้องต้น (ที่กล่าวถึงในตอนที่ 5) อันเป็นผลงานของสถาบันการศึกษาที่มีชื่อว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” จะไม่ให้ผมและประชาชนทั่วไปในสังคม..นึกถึงทั้ง 2 ท่านนี้ได้ยังไงล่ะครับ..

 

ฯพณฯ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ… ครับ,

 

ท่าน ดร.สุเมธ แย้มนุ่น 

เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.)… ครับ

 

ท่านทั้งสองจะทราบหรือไม่ครับว่า..

ลูกน้องของท่าน.. ที่เป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏ..แถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร แห่งนี้นั้น  ได้สร้างผลงานแบบ 3 ตัวอย่างข้างต้น..(เป็นอย่างน้อย.. ความจริงยังมีอีกหลายตัวอย่างครับ โดยเฉพาะงานทางด้านวิชาการ)..ฝากไว้ให้เป็นความ “งามหน้า” แก่ “กระทรวงศึกษาธิการ” และ “สกอ.” ที่มีมหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ในสังกัด…

 

ความฝันและความตั้งใจของท่านที่จะดูแลปฏิรูปอุดมศึกษาอย่างจริงจังจากหัวข้อข่าวนี้…

 

image

แปลกมากที่ ผู้บริหาร มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้..กล้าจัด สวนหย่อมมะละกอ ในมหาวิทยาลัยของตนเอง

สงสัยมากว่าทำไมคนเป็นถึงระดับ อธิการบดี ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครแห่งนี้..จึงไม่มีความรู้สึก อาย  ที่ปล่อยให้มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในพื้นที่รับผิดชอบของตนมาอย่างยาวนานไม่ต่ำกว่า 3 ปีไว้คอยอวดแขกเหรื่อที่มาติดต่องานและจอดรถในลานจอดรถที่ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นลานจอดรถข้างอาคาร บริหาร” (อาคาร ๑๐) ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ 

เพราะถือเป็น ลานจอดรถมะละกอ ที่น่าจะมีที่เดียวในบรรดาราชภัฏทั้งหมด 40 แห่งทั่วประเทศ

image

 

“ชินวรณ์ลั่นดูแลปฏิรูปอุดมศึกษาจริงจัง - ชู 5 ประเด็น”

  เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554

 

(ตามลิงค์นี้ครับ

  http://www.komchadluek.net/detail/20110210/88495/ชินวรณ์ลั่นดูแลปฏิรูปอุดมศึกษาจริงจังชู5ประเด็น.html)

 

เป็นสิ่งที่น่านิยมชมชื่นและเห็นควรให้สังคมร่วมกันสนับสนุนอย่างเต็มที่และเต็มใจอย่างยิ่งยวด.. แต่ตราบใดถ้ายังไม่มีมาตรการหรือหาวิธีการลงมาประเมินดูของจริงและวัดผลถึงภาคสนามจริงในงานทุกด้านที่สถาบันการศึกษาได้ทำ..ได้ฝากผลงานจริงไว้

และยังปล่อยให้ตัวชี้วัดและวิธีการวัดเป็นแบบเดิม ๆ ของ สมศ. หรือหน่วยงานตัวย่ออื่น ๆ อีกมากมายหลายชื่อตัวย่ออะไรต่าง ๆ เดิม ๆ มาประเมินคุณภาพสถาบันการศึกษากันแต่ในห้องแอร์บนตึกของผู้บริหารกับของร้านอาหาร… แล้วรับรองการประกันคุณภาพการศึกษากันแต่บนเอกสารที่กองสูงกันเป็นภูเขาเลากาแบบที่ผ่านมา

ผลก็จะได้แบบที่เห็นดัง 3 ตัวอย่างข้างต้นนี่แหละครับ ชนิดที่ว่าเอ็งอยากประเมินบนกองเอกสารหลอก ๆ ก็ประเมินกันไป ฉันจะทำของจริงของฉันตามใจฉันแบบนี้แหละ !

 image

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ดังนั้น...

1. ถ้า...  “คุณภาพ” ในความหมายของกลุ่มคนที่ทำการประเมินในสไตล์เดิม ๆ เหล่านี้..(ทั้งผู้มาประเมินและผู้ถูกประเมิน)..ยังอยู่แต่กับข้อความและตัวเลขสวย ๆ ในเอกสารที่กองเป็นพะเนินเทินทึก.. ไม่ได้อยู่ที่ตัว product หรือ output ที่เป็นรูปธรรมจริง ๆ ของสถาบันการศึกษานั้น ๆ

 

2. ถ้า... วิธีการประเมินผลและวัดผล ยังอยู่แต่ในลักษณะที่ผู้ประเมินลงไปดู “ผลงานของจริง” ที่สถาบันการศึกษาผลิตออกมา..แบบ “ขี่ม้าชมสวนดอกไม้” ที่ดูแบบพอเป็นพิธี, ดูอย่างเสียไม่ได้, ให้ได้ชื่อว่ามาดูแล้ว ซึ่งเป็นการลงไปดูแบบฉาบฉวยมาก ๆ โดยยังไม่ได้เจาะลึกลงไปดูอย่างจริงจังถึง “ของจริง” ต่าง ๆ เช่น ในห้องเรียนจริง, ในภาคสนามจริง, และในงานทุกด้านที่สถาบันการศึกษาได้ทำ..ได้ฝากผลงานไว้ให้เห็นผลลัพธ์จริง

 

3. ถ้า... ผู้ประเมินยังชอบเอาแต่ไปดูการฝากผลงานหรือผลผลิตของสถาบันการศึกษาไว้ที่เฉพาะบนกระดาษ, บนเอกสารของสถานศึกษา..ชนิดที่ใครมีแรง make, มีแรงนั่งเทียนเขียน, มีแรงพิมพ์เข้าไป ก็ฝากผลงานแบบนี้ได้ไม่ยาก ขอเพียงให้สถาบันการศึกษาใดมีคนที่มีกล้ามเนื้อแขนและกล้ามเนื้อมือใหญ่ ๆ ซักหน่อย..(กล้ามเนื้อสมอง..ไม่ต้อง..ไม่จำเป็นต้องใช้สำหรับการประเมินสไตล์แบบนี้)..ก็ระดมมาทำงานพวกนี้ได้อย่างสบายและง่ายมาก เพียงแค่การออกแรงกล้ามเนื้อแขนกับกล้ามเนื้อมือเขียนเข้าไป, หลับหูหลับตา make เข้าไป, ก้มหน้าก้มตาพิมพ์เข้าไป ไม่ต้องไปใช้กล้ามเนื้อสมองในการทำงานเพื่อการ “คิด” สร้างสรรค์ผลงานที่ดีจริง ๆ อะไรให้ยุ่งยากลำบากเลย..

 

ผลก็คือ...

การจะดูแลปฏิรูปอุดมศึกษาอย่างจริงจังตามความมุ่งมั่นตั้งใจที่ดีงามของ “ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” ก็อาจจะไปไม่ถึงฝั่งฝันแห่งเป้าหมายและกลายเป็นฝันสลายละลายหายไปกับอากาศธาตุในที่สุด

 

image

 

เรื่องของเรื่อง..สำหรับ 3 ตัวอย่างของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาในสังกัด สกอ. กระทรวงศึกษาธิการ ข้างต้นนี้...

ประเด็นหลักของมันคงจะไม่ใช่อยู่ที่ว่า..ตัวอย่างข้างต้นได้ไปทำให้กระทรวงศึกษาธิการ และ สกอ. ในยุคสมัยความรับผิดชอบของท่านเสื่อมเสียชื่อเสียงที่มีสถานศึกษาในสังกัดมาทำสิ่งแบบนี้ให้ประชาชนทั้งประเทศต้องตะลึงด้วยนึกไม่ถึงว่าวงการศึกษาที่เขาฝากความคาดหวังไว้ค่อนข้างสวยงาม จะมีปรากฎการณ์ผลงานแบบนี้เกิดขึ้นจริง ซ้ำยังเกิดขึ้นในสถาบันระดับ อุดมศึกษา ซึ่งถือว่าอยู่บนปลายยอดของพีรามิดในการจัดการศึกษาซะด้วย

 

แต่ประเด็นหลักของมันน่าจะอยู่ที่ว่าวงการ “การศึกษาไทย” ที่มีท่านเป็นผู้กำกับดูแลรับผิดชอบจะถูกตั้งคำถามด้วยความสงสัยอย่างหนักหน่วงว่าจะเป็นที่พึ่งแก่สังคมไทยได้จริงหรือ ??

และจะมีส่วนช่วยทำประโยชน์ในการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองไทยเราได้อย่างไรกันเมื่อมองไปเห็นผลงานอันพิสดารเหลือเชื่อที่ปรากฎออกมาจากตัวอย่างข้างต้นของสถานศึกษาในสังกัด สกอ. กระทรวงศึกษาธิการ ที่ชื่อ “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ “ผู้บริหารมหาวิทยาลัย” ในตำแหน่ง “อธิการบดี” ที่ทำให้เกิดผลงานดังภาพที่เกิดขึ้นจริงตามตัวอย่างข้างต้นนี้..!!

 

สังคมไทยจะหวังอะไรได้บ้างครับจาก “อธิการบดีมหาวิทยาลัย” ที่ปล่อยให้มีระบบ “มะละกอ” ผสมมั่วกับระบบ “ลั่นทม” และระบบ “สวนผัก-สวนครัว” ผสมปนเปมั่วอยู่กับระบบ “สวนหย่อม-สวนไม้ดอกไม้ประดับ” ในสถาบันทาง “การศึกษา” จนไม่รู้ว่าระบบไหนเป็นระบบไหนมาอย่างยาวนาน

 

ขนาดเรื่องที่เป็นระบบง่าย ๆ อย่างเรื่องพืชผักและเรื่องสวนหย่อมที่ว่ายังจัดการไม่เป็น จัดการไม่ได้ และปล่อยปละละเลย ขาดความเอาใจใส่ในกิจการของมหาวิทยาลัยอย่างหนัก (ซึ่งไม่ควรเป็นคุณสมบัติที่ดีของคนจะมาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับ “อธิการบดี”) จนปล่อยออกมาอวดชาวประชาทั่วประเทศและทั่วโลกตามภาพที่เห็น.. ประสาอะไรจะไปมีความสามารถ, มีศักยภาพ, และทุ่มเทเอาใจใส่ดูแลอย่างตั้งใจจริงในการจัดการระบบที่ยากและมีความซับซ้อนกว่าไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่าอย่างระบบ “งานวิชาการ” ที่เป็นหัวใจหลักของการจัดการศึกษา

พูดสั้น ๆ ง่าย ๆ คือ ยากจะมั่นใจ หรือ ไม่มีความเชื่อมั่นในการจัดการศึกษาให้ตัวนักศึกษามีความเข้มแข็งทางวิชาการเพื่อช่วยพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้น..ของ “อธิการบดีมหาวิทยาลัย” แห่งนี้เลยก็ว่าได้..เมื่อเห็นการจัดการแปลงผักผสมกับสวนหย่อมดังภาพแล้ว  !!

 

image

  • อาคาร ๑๐  เป็นอาคารอำนวยการ หรือ อาคารบริหาร ของมหาวิทยาลัย
    ราชภัฏสกลนคร ณ แยกบ้านธาตุ
  • คนเป็น..อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้ ก็นั่งทำงานอยู่ที่ห้องทำงานในอาคารแห่งนี้
  • คนเป็น..รองอธิการบดี..มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้..ก็นั่งทำงานอยู่ที่ห้อง
    ทำงานในอาคารแห่งนี้
  • คนเป็น..ผอ., รอง ผอ. ของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้อีกจำนวนมากมาย
    ก็นั่งทำงานอยู่ที่ห้องทำงานในอาคารแห่งนี้
  • และบรรดาคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ผู้บริหาร มหาวิทยาลัยชุดนี้..ทีมนี้แหละครับ
    คือคนทั้งหมดที่ปล่อยให้มีการจัด
    สวนหย่อมมะละกอ ไว้ข้างอาคาร
    บริหาร
    ของ
    มหาวิทยาลัยตนเอง..เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก..โดยการ
    ร่วมกันนั่งดูดายอยู่บนอาคาร ๑๐ ที่ตัวเองทำงานอยู่..ทั้งยังผ่านเข้า-ออก
    อาคาร ๑๐ เข้าไปทำงานทุกวันแต่ไร้ความใส่ใจและปล่อยปละละเลยแบบธุระ
    ไม่ใช่กว่า 3 ปี..ไม่งั้น..มะละกอมันไม่สูงใหญ่จนออกลูกออกหลานให้คนเอา
    ไปตำส้มตำกินกันได้หลายครกแล้วหรอกครับ..ถ้าเอาใจใส่สนใจจริงจัง
  • (แต่..แม่มม..เอ๊ย !..ตอนที่บรรดาคนพวกนี้ใช้ ปาก พูดพร่ำพรรณนาเพื่อ
    บ่งบอกถึง
    ความรัก-ความเสียสละ ที่พวกตนมีต่อมหาวิทยาลัยอย่างดูดดื่ม
    นั้น..โคตรเก่งและสุดยอดอิ๊บอ๋ายเลย
    !..ให้ตายเถอะ !..จอร์จ และ โรบิน..!!
    )

image image

 

 เพราะอย่างนี้นี่เอง.. จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมจึงเกิดมีการสร้างระบบ “รั้ว” และ “ประตู” ให้ “โรงเรียนวิถีธรรม” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร..ในลักษณะรูปแบบเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้  l

 

 


 

เรื่องของ “โรงเรียนวิถีธรรม” ยังไม่จบครับ.. พบกันใหม่ตอนหน้าครับ..

…….