เชื่อไหมครับ…
ถ้าจะบอกว่า การสร้าง “รั้ว” และ “ประตู” โรงเรียนวิถีธรรมออกมาเป็นลักษณะสไตล์รูปลักษณ์อย่างที่เห็นอยู่ในวันนี้ ก็เป็นผลอันเกิดมาจากการปลูก “มะละกอ” ผสม “ลั่นทม” ในอดีตของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
สำหรับคนภายนอกทั่วไปที่เพิ่งมารับทราบอาจจะรู้สึกประหลาดใจระคนด้วยความฉงนสนเท่ห์ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรสำหรับความสัมพันธ์เชื่อมโยงไปถึงกันระหว่างเรื่อง “รั้วและประตูโรงเรียนวิถีธรรม” กับ “เรื่องมะละกอปนลั่นทม”
แต่สำหรับคนที่เคยเห็นความเป็นไปอย่างต่อเนื่องภายในมหาวิทยาลัยนี้ และพอจะมีความคิดอ่านเชื่อมโยงตามหลักเหตุปัจจัยที่มองอะไรเป็น “องค์รวม” ทั้งระบบ ไม่คิดและมองอะไรอย่าง “แยกส่วน” แล้ว จะไม่รู้สึกแปลกใจ หรือสงสัยประหลาดใจใด ๆ เลยครับว่า..ทำไมถึงมีรั้วและประตูโรงเรียนวิถีธรรมให้เด็ก ๆ ในรูปลักษณ์สไตล์แบบนี้
ทั้งยังเป็นสิ่งที่สามารถคาดการณ์ทำนายได้ก่อนล่วงหน้าผ่านมานานเป็นปี ๆ แล้วด้วยว่า การเอาคนที่ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของความคิดเชิงระบบและไร้ทักษะที่จะพัฒนาตนเองให้มีความคิดด้านนี้ติดตัว จนสามารถปลูก “มะละกอ” สลับคู่กับ “ลั่นทม” และผสมกับ “เทียนทอง” (รวมถึงไม้ดอกอื่นๆ) ในสถานศึกษาได้อย่างหน้าตาเฉยและไม่สะทกสะท้านต่อการเป็นแบบอย่างแก่นักศึกษา มาทำงานอื่น ๆ ให้มหาวิทยาลัยต่อไปอีกในภายหลัง ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร
แล้วในที่สุด ก็เป็นจริงตามคาด ผลก็ออกมาเป็นรั้วและประตูโรงเรียนวิถีธรรมในสไตล์แบบกรงรั้วสวนสัตว์และประตูเรือนจำที่มีนัยแห่งการกักขังครอบงำเด็ก ๆ ให้สูญเสียเสรีภาพทางจิตวิญญาณ อันขัดต่อรากฐานของการพัฒนาชีวิตตามหลัก “วิถีธรรม” ที่แท้จริง..ดังที่เห็นกันในปัจจุบัน
นี่จึงเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นให้เห็นจริงมาแล้วว่า...
ที่ผ่านมา..ยังมีจุดอ่อนในระบบการศึกษาไทยที่ทำให้ผลผลิตของการจัดการศึกษาไทยที่จบออกมาเป็น “บัณฑิต” แล้วไปเป็น “ผู้ใหญ่” ที่เข้าไปทำงานในองค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ โดยใช้ความคิดอ่านเชิงระบบไม่เป็น และสร้างปัญหาอย่างหนักให้องค์กรด้วยผลงานที่เสียหายจากการขาดความคิดเชิงระบบนั้น
และข้อสำคัญ ผลเสียหายกับองค์กรและส่วนรวมจะไม่เกิดขึ้นเฉพาะครั้งหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น แต่จะมากครั้งไปเรื่อย ๆ ในอนาคตข้างหน้าตราบเท่าที่การทำงานด้วย “กลุ่มคน” (แปลว่า..ไม่ใช่มีคนเดียว)..ที่ขาดความคิดเชิงระบบขององค์กรนั้น..ยังดำรงคงอยู่อย่างต่อเนื่อง
ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงแล้วในองค์กรที่ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” เช่น
เพราะ อดีต เป็น “มะละกอ” ผสมกับ “ลั่นทม” และ “สวนผัก” ในแปลง
“สวนหย่อม”
ปัจจุบัน จึงออกมาเป็น “รั้ว” และ “ประตู” โรงเรียนวิถีธรรม ตามแบบที่เห็น
และ อนาคต ยังไม่รู้จะเป็นอะไรอีก แต่ที่ทุกคนคงพอทำนายร่วมกันได้ไม่ยากแล้ว..ก็คือ..ต้องมีความมั่วและไร้ความคิดเชิงระบบเข้ามาแฝงฝังอยู่ในผลงานที่จะปรากฎออกมาอย่างในอดีตของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้อีก..ค่อนข้างแน่นอน..ตามเหตุปัจจัยที่สั่งสมต่อเนื่องผ่านมา
ซึ่งคนที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบไปไม่ได้เลยคือ “ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ในฐานะตำแหน่ง “อธิการบดี”..ที่ขาดความคิดอย่างเป็นระบบ (systematic thinking) ชนิดหนักหน่วงรุนแรง..
จนแยกไม่ออกว่า.. “บ้านบางแค” หรือ “เมตตาธรรมมูลนิธิ” เป็นองค์กรที่มี Mission, Objective, Policy และ Function ของมันต่างจากองค์กรทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาเฉกเช่น “มหาวิทยาลัย” อย่างไร ??
จึงคำนึงถึงและเอาแต่ “ระบบอุปถัมภ์ (patronage system)” ที่เห็นแก่ประโยชน์ของพวกพ้อง..บริวาร..และ..หวานใจ.. มากกว่าจะเห็นแก่ประโยชน์ของมหาวิทยาลัยและคนส่วนใหญ่..มาใช้ในการบริหารงานมหาวิทยาลัยเป็นหลักตลอดหลายปีที่ผ่านมา..,
จนลืมตัวว่า… แท้จริงแล้ว..
ตนเองกำลังเป็นผู้บริหาร “สถานสงเคราะห์คนชราบ้านบางแค”
หรือ..เป็นผู้บริหารสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาอย่าง “มหาวิทยาลัย” กันแน่ ??..,
และ..จนลืมตัวว่า แท้จริงแล้ว..
ตนเองกำลังเป็นผู้บริหาร “เมตตาธรรมมูลนิธิสกลนคร”
หรือ..เป็นผู้บริหาร “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร”….กันแน่ ??
ทำให้..คนเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏคนนี้..ไม่เคยคิดสนใจถึงการแก้ไขเหตุปัจจัยและหาทางป้องกันยับยั้งตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา..ซึ่งตนได้มองเห็นผลลัพธ์จริงจากการขาดความคิดเชิงระบบในการทำงานของกลุ่มคนเดิม ๆ ที่เข็นผลงานออกมาเป็น “มะละกอ” ปนกับ “ลั่นทม” และ “สวนผัก” ผสม “สวนหย่อม” ให้เห็นอยู่เต็มสองตาของตนเองแล้ว
แต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยคนนี้กลับยังปล่อยให้พวกตัวเองในระบบอุปถัมภ์ (patronage system) อันข้นเข้มและเต็มไปด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวของตนกับพวกพ้อง..ได้ทำต่อกันมาเรื่อย ๆ ยาวนานอีกหลายปีโดยไม่คำนึงและไม่เคยสนใจว่ามหาวิทยาลัยจะล้าหลังคู่แข่งในสังคมไปอีกกี่ปี และจะเสียโอกาสไปตั้งหลายปีขนาดไหนที่จะเติบโตก้าวหน้าไปในทิศทางที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่แบบเดิม ๆ
ผลจึงออกมาเป็นรั้วและประตูโรงเรียนวิถีธรรม (และอีกหลายผลงานทำนองนี้) อย่างที่ปรากฎในปัจจุบัน..!!
ขนาดมะละกอยังกล้าปลูกผสมกับลั่นทม และผักกาดหอม (หรือ..ผักสลัด : Lettuce) ยังกล้าปลูกในสวนหย่อม..ปนกับไม้ดอกไม้ประดับ..ไว้บริเวณหน้าหอประชุม และหน้าเรือนประทับฯ..ในมหาวิทยาลัยของตนเองได้..
กับเรื่องแค่การทำรั้วโรงเรียนให้เป็นกรงตาข่ายเหมือนของสวนสัตว์ และประตูโรงเรียนให้เหมือนประตูเรือนจำ ทำไมจะทำไม่ได้สำหรับคนพวกนี้ !!
เพราะถ้าลองคนเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยระดับอธิการบดี ได้เอาคนที่กล้าปลูกมะละกอผสมลั่นทมข้างอาคารอำนวยการอันเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัย มาทำรั้วและประตูให้โรงเรียนแล้ว จะแปลกใจไปใยเล่าที่เราจะได้ “รั้ว” และ “ประตู” ของโรงเรียนวิถีธรรมแห่งนี้..แบบคอก..แบบกรง..อย่างในสวนสัตว์อันแข็งกระด้าง..ทั้งเต็มไปด้วยนัยแห่งการกักขัง, กักกัน, และการสกัดกั้นอิสรภาพทางความคิดและเสรีแห่งจินตนาการของเด็ก ๆ ในโรงเรียนนี้
ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นผลเสียหายเลวร้ายที่ฉุดกระชากมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้ให้ตกต่ำและล้าหลังดังหลายตัวอย่างจริงที่ผ่านมา..
จึงล้วนแล้วแต่มีที่มาจาก “ระบบอุปถัมภ์ (patronage system)” อันเลวทรามชั่วร้ายชนิดเข้มข้นและรุนแรง ที่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้ยึดถือใช้เป็นหลักในการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์แอบแฝงส่วนตัวร่วมกับพวกพ้องบริวารและหวานใจในระบบอุปถัมภ์ของตนนี้มาตลอดยาวนานนับสิบปีที่ยึดครองมหาวิทยาลัย
แต่ด้วยความสามารถในการแสดงออกที่ “เนียน” เข้าขั้นเทพของอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครแห่งนี้ จึงสามารถหลอกตบตาคนส่วนใหญ่และแม้กระทั่งพวกเดียวกันเองบางคน..ให้มองไม่เห็นและคิดตามไม่ทันพิษภัยความเลวร้ายที่จะส่งผลเสียอย่างรุนแรงต่อมหาวิทยาลัยในระยะยาวอันเนื่องมาแต่การใช้ “ระบบอุปถัมภ์” แบบไม่ลืมหูลืมตา..อย่างย่ามใจและอหังการสุด ๆ..ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยคนนี้..
ทั้งยังเป็นยุคที่ถูกใช้อย่างหนักหน่วงและไร้คุณธรรมสุด ๆ ชนิดที่ไม่เคยมีปรากฎในยุคใดมาก่อนบนหน้าประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้
เช่น ไม่เคยมียุคของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครคนใด จะมี “สุสานคนแก่” ที่เป็นแหล่งรวมคนที่เกษียณอายุราชการไปแล้วแต่ถูกต่ออายุราชการออกไปอีกด้วยระบบอุปถัมภ์อันเลวร้าย..เป็นจำนวนมากเท่ากับยุคของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครคนปัจจุบันนี้.. ซึ่งมากยิ่งกว่ายุคสมัยใดในหน้าประวัติศาสตร์กว่า 45 ปีของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครแห่งนี้..เท่าที่เคยอยู่กันมา
และยังเป็นการกระทำที่เรียกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าหน้าด้าน..แบบ “กูจะเอาอย่างนี้ - มึงจะทำไม” โดยไม่สนใจเลยว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างอึงคนึงถึงความน่าเกลียด, น่าละอาย, และไม่เหมาะสมในการกระทำที่โคตรเห็นแก่ตัวครั้งนี้จากคนส่วนใหญ่ในองค์กร… อย่างไรบ้าง
รวมทั้งไม่เคยคิดคำนึงและใคร่ครวญอย่างละเอียดลึกซึ้งเลยว่า..การต่ออายุราชการให้พวกพ้องที่เกษียณแล้วในลักษณะที่รับรู้กันในองค์กรว่าไม่ได้เกิดจาก “ระบบคุณธรรม (merit system)” ตามความรู้ความสามารถที่แท้จริงอะไรเลยเช่นนี้..นั้น.. จะเป็นเรื่องที่บิดเบี้ยว, ผิดธรรมเนียมประเพณีขององค์กร “ราชภัฏสกลนคร” ที่ไม่เคยมีการปฏิบัติกันเยี่ยงนี้มาก่อนไม่ว่าจะในยุคสมัยของอธิการบดีคนใดที่ผ่านมา... อย่างไรบ้าง
ทั้งยังไม่เคยคิดสำเหนียกอีกว่า.. การกระทำแบบนี้จะกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ไม่ดีให้กับมหาวิทยาลัยในภายภาคหน้า..เช่นไรบ้าง.. เพราะจะมีการเลียนแบบเอาอย่างจากกลุ่มผู้บริหารมหาวิทยาลัยกลุ่มอื่น ๆ ที่จะเข้ามาใหม่ในสมัยหน้า..และสมัยต่อ ๆ ไปในอนาคตข้างหน้า…แล้วทำการต่ออายุราชการหลังเกษียณอย่างเห็นแก่ตัวและเอาผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกพ้องเป็นที่ตั้ง..โดยไม่ต้องคำนึงถึงคุณภาพในการพัฒนามหาวิทยาลัยให้ก้าวหน้าแท้จริง..ด้วยการอ้างว่าได้แบบอย่างมาจากการกระทำของตัวอธิการบดีคนปัจจุบันที่ทำเอาไว้ให้ดู..ให้เห็นจริงมาแล้ว
ยังมี.., คนที่แบกรับ “ต้นทุน” ซึ่งคิดเป็นตัวเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลในการนำไปอุดหนุนพวกต่ออายุราชการด้วยระบบอุปถัมภ์ในแต่ละเดือนนี้..ย่อมเป็นภาครัฐและประชาชนผู้เสียภาษีทั้งมวล ไม่ใช่ครอบครัวหรือตระกูลของอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครคนนี้..ที่ไม่มีทางจะเอาเม็ดเงินของครอบครัวตนเองไปจ่ายสนับสนุนเลี้ยงดูพวกตัวเองจำนวนมากมายหลายคนที่ได้รับการต่ออายุราชการแบบไร้ความชอบธรรมนี้..อย่างเด็ดขาด..!!
แล้วไหนจะยังมีเรื่องของ “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” (Opportunity Cost) ในการต่ออายุราชการคนเกษียณแล้ว..ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ต้องจ่ายไปอีกเล่า..
เคยอยู่ในหัวคิด..หัวสมองของคนเป็นอธิการบดี..ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครแห่งนี้..หรือไม่ ??
จะเข้าใจเรื่อง “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” (Opportunity Cost) ในกรณีนี้.. ให้ดูจากตัวอย่างเดิมเรื่อง “รั้ว” และ “ประตู” ของ โรงเรียนวิถีธรรม
ซึ่งชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครต้องเสียโอกาสที่จะได้ “รั้ว” และ “ประตู” ของ โรงเรียนวิถีธรรม ที่มีทางเลือกที่ดีกว่า, เหมาะสมกว่า, และมีคุณค่ากับเด็ก ๆ มากกว่านี้.. ก็เพราะได้คนทำ “รั้ว” และ “ประตู” ที่เกษียณแล้วไม่ยอมเกษียณ แต่ได้รับการต่ออายุราชการภายใต้ระบบอุปถัมภ์อันเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ผลประโยชน์ของพวกพ้องจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครคนนี้..แล้วก็มาสร้าง “รั้ว” และ “ประตู” ให้กับโรงเรียนวิถีธรรมในสไตล์รูปแบบดังที่เห็น
แปลว่า.. ถ้าคนเหล่านี้ไม่ได้รับการต่ออายุราชการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครอาจมีโอกาสที่จะได้รับ “รั้ว” และ “ประตู” ของโรงเรียนวิถีธรรมที่เหมาะสมดีงาม และมี “ทางเลือก” ที่ดีกว่า..มากกว่านี้..!!
รวมทั้งยังสามารถคิดอนุมานต่อไปได้ว่า ถ้าปราศจากพวกคนแก่ที่เกษียนแล้วแต่ยังไปไหนไม่รอดกลุ่มนี้ มหาวิทยาลัยย่อมยิ่งมีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีอื่น ๆ อีกมากมายหลายอย่างกว่าที่เป็นอยู่.. ไม่ใช่แต่จะได้รับ “รั้ว” และ “ประตู” ของโรงเรียนวิถีธรรมที่ดีกว่าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น..!!
จึงคงพอเข้าใจกับเรื่องของ “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครและคนส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ต้องแบกรับไว้เป็นความเสียหายต่อการขัดขวางความเจริญก้าวหน้าขององค์กร และต้องสูญเสียโอกาสในการพัฒนาองค์กรให้ดีขึ้นกว่าเดิม..จากกรณีการต่ออายุราชการให้คนเกษียณโดยใช้ระบบอุปถัมภ์เพื่อพวกพ้องตัวเองอย่างไม่ละอายและย่ามใจของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้..กันบ้างแล้วนะครับ
แต่ก็ยังไม่ต้องเชื่อผมนะครับ ทั้ง ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ท่านเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ตลอดจนท่านผู้อ่านที่เป็นประชาชนทั้งหลายในสังคม
ขอให้ใช้คนของท่านลงไปสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลและหาวิธีตรวจสอบยังพื้นที่จริงในมหาวิทยาลัยราชภัฏ ณ แยกบ้านธาตุ จ.สกลนครแห่งนี้ว่าเป็นจริงตามที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น..หรือไม่ ??
รวมทั้งขอแรงให้ท่านผู้อ่านบล็อกนี้ทั่วประเทศและประชาชนทั่วไปในสังคมทั้งหลายได้เข้าไปดูผลลัพธ์..ไปพิสูจน์ตรวจสอบผลงานของจริงในทุก ๆ ด้านที่เกิดกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างตั้งใจจริง…
และมองให้แทงทะลุมายาการของการสร้างภาพให้ดูดีที่ฉาบทาเคลือบปกคลุมตัวตนภายในที่แท้จริงของ “ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้” ก็จะค่อย ๆ เห็น “ของจริง” ที่ถูกปกปิดซ่อนเร้นอยู่ภายใต้การคลุมไว้ด้วยเปลือกอันดูดีภายนอกเองครับว่าอะไรเป็นอะไร
ดูไม่ยากครับ.. เพราะผู้บริหารมหาวิทยาลัยลักษณะแบบนี้ จัดเป็นประเภท
“ทองชุบ” ครับ
“ผู้บริหารมหาวิทยาลัยประเภททองชุบ” จะสร้าง “ภาพ” ภายนอกให้ดูดีในสายตาคนทั่วไป แต่ตัวตนและจิตใจที่แท้จริงภายในจะมีแต่เรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องในระบบอุปถัมภ์อย่างไร้คุณธรรมต่อองค์กรและคนส่วนใหญ่เป็นหลัก..
ตัวตนภายในและจิตวิญญาณแท้จริงของ “ผู้บริหารมหาวิทยาลัยประเภททองชุบ” จึงไม่มีเรื่องของ “อุดมการณ์” เพื่อการทำประโยชน์แท้จริงให้องค์กรอย่างจริงใจ.. และไม่มีเรื่องของ “อุดมคติ” เพื่อสังคมที่ดีงามใด ๆ หลงเหลืออยู่ให้ฝากความหวังไว้ได้
ภาพเหล่านี้…
เป็นหลักฐานและประจักษ์พยานได้อย่างแจ้งชัดว่า...
คนเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครแห่งนี้.. จะบอกว่าไม่เคยรู้เห็นถึงการมีสวนหย่อมมะละกอในบริเวณพื้นที่มหาวิทยาลัยของตนนั้น.. ไม่ได้เลย..!!
ฟังไม่ขึ้นครับ !!!
มาจอดรถในที่เกิดเหตุจะ ๆ ขนาดนั้น... ถ้ายังปฏิเสธว่า..
ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับเรื่องของสวนหย่อมมะละกอคู่ลั่นทม (ลีลาวดี)…
ย่อมต้องแสดงว่าขาดความเอาใจใส่ในกิจการ ของมหาวิทยาลัยตนเองอย่างหนักหน่วงรุนแรงที่สุดแล้ว
ขนาดเรื่องพื้นฐาน..เรื่องเล็ก ๆ..ยังเป็นแบบนี้.. เรื่องใหญ่ ๆ ที่สำคัญและเป็นหลักชัยของการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา..คงยิ่งไร้ความใส่ใจอย่างจริงจัง..หนักกว่านี้ !
อาคารด้านหลังนั้น ก็คือ อาคาร 10... เป็นอาคารอำนวยการ หรืออาคารบริหาร ที่ทำงานของตัวอธิการบดี
แปลว่า.. มาแถวนี้ทุกวัน แต่ยังปล่อยปละละเลย ทิ้งสภาพสวนหย่อมมะละกอเช่นนี้ให้กับมหาวิทยาลัยกว่า 3 ปี
คุณสมบัติของการ “ปล่อยปละละเลย” และ “ไม่รู้จักอับอาย” ที่กล้าทิ้งความไม่เหมาะ..ไม่งามไว้ให้กับองค์กรตนเองอย่างยาวนานเช่นนี้ละหรือ..คือคุณสมบัติของคนที่ได้เป็นถึงอธิการบดีของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ???
ดังนี้แล้ว… เรายังจะมีความหวังกับวงการ “อุดมศึกษา” ในประเทศนี้.. ได้อยู่อีกหรือ..??
โดยเฉพาะ “คุณทองชุบ” แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ณ แยกบ้านธาตุนี้ จะแอบมีวาระซ่อนเร้นในเรื่องระบบอุปถัมภ์และผลประโยชน์ส่วนตัวเหล่านี้สูงมากเป็นพิเศษ โดยไม่เคยสนว่าจะก่อให้เกิดการชะงักงันและเป็นผลเสียต่อการพัฒนามหาวิทยาลัยให้เติบโตก้าวหน้าอย่างยั่งยืนแท้จริงอย่างไรบ้างในอนาคต ขอเพียงแต่ได้ตอบสนองความพอใจส่วนตัวของตนเอง..และตอบแทนพวกพ้องบริวารกับหวานใจในระบบอุปถัมภ์ของตัว..ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง
แต่ “คุณทองชุบ” คนนี้จะเก่งมากในการสร้างภาพปกปิดวาระซ่อนเร้นในใจที่อัดแน่นไปด้วยผลประโยชน์แอบแฝงส่วนตัวเพื่อพวกตัวเอง..
(เช่น กลัวผลประโยชน์ของภรรยาบริวารตนเองจะเสีย จากการไม่ได้มีหน้าตาในสังคมถ้าสามีไม่ได้เป็นรองอธิการบดี จึงตั้งให้บริวารเป็นรองอธิการบดีด้วยเหตุผลเรื่องหน้าตาภรรยาดังกล่าวโดยไม่คำนึงถึงส่วนรวมว่าจะเกิดเป็นผลเสียหายต่อการพัฒนามหาวิทยาลัยให้ชะงักงันและล้าหลังลงไปเรื่อย ๆ ในภายภาคหน้าอย่างไรบ้าง..
นี่ก็เกิดขึ้นจริงมาแล้วครับจากฝีมือ “คุณทองชุบ” แห่งราชภัฏแถวแยกบ้านธาตุคนนี้แหละครับ - ซึ่งดูจากภาพภายนอกแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมครับว่าจะเป็นคนที่กล้าทำสิ่งเหล่านี้โดยใช้เหตุผลอันน่าละอายและบ้องตื้นแบบนั้นได้)..,
เบื้องหน้าของ “คุณทองชุบ” คนนี้..จึงดูดี.. แต่เบื้องหลังเป็นคนไร้สัจจะและตระบัดสัตย์ที่เคยรับปากรับคำอะไรคนอื่นเอาไว้.. คำพูดคำจาเชื่อถือไม่ได้.. ดีแต่พูด..และมีแต่การโกหกหลอกลวงคนอื่นจนติดเป็นนิสัย..,
ทั้งยังขาดความจริงใจต่อการสร้างสรรค์พัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง.. และไร้ความเป็นธรรมในการบริหารงาน…
ความยุติธรรมต่อคนส่วนใหญ่ไม่ต้องถามหา.. มีแต่บริหารไปบริหารมาจนความอยุติธรรมแพร่ระบาดไปทั่วทุกตารางนิ้วในดินแดนมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้ยิ่งกว่ายุคสมัยใด..!!
แต่ด้วยความชำนาญสูงในการสร้างภาพลักษณ์ภายนอกให้ดูดีอยู่เสมอ จึงสามารถหลอก “คนรู้ไม่เท่าทัน” ส่วนใหญ่ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยได้ตลอดมายาวนานนับสิบ ๆ ปี !!
คนที่ติดดู “คน” แต่แค่ “ภาพ” ภายนอก ก็จะกลายเป็นคนที่รู้ไม่ทัน “คุณทองชุบ” และจะเป็นเหยื่อที่ยัง “ถูกหลอก” จาก “คุณทองชุบ” คนนี้..กับ..พวกบริวารกลุ่มของเขา..ไปเรื่อย ๆ..!!
แต่ถ้าได้ลองเพ่งพินิจดูอย่างใส่ใจให้แทงทะลุ “ภาพ” ภายนอกเข้าไปถึงตัวตนภายในที่แสดงออกผ่านพฤติกรรม..การกระทำจริงในการบริหารมหาวิทยาลัยของ “คุณทองชุบ” ที่มีปรากฎให้เห็นตำตามาหลายกรณีเกี่ยวกับเรื่องระบบอุปถัมภ์เพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ก็จะเข้าใจความจริงว่าอะไรเป็นอะไรและรู้เท่าทันคนกลุ่มนี้ได้ไม่ยากเลยครับ
เพราะยังไง ๆ “ทองชุบ”...ก็ย่อมเป็น “ทองชุบ”...
ไม่ใช่ “ทองจริง” หรือ “ทองแท้”..อยู่วันยังค่ำ..!!
ขอเพียงช่วยกันดู..โดยเพิ่มการคิดใคร่ครวญให้ลึกซึ้งอย่างรู้เท่าทันหน่อย เดี๋ยวก็เห็นการลอกออกมาให้เห็นของจริงภายใน..
ว่าเป็น “ของเก๊” เองแหละครับ !
เห็นผลร้ายของ “ระบบอุปถัมภ์ (patronage system)” ที่ถูกนำมาใช้ในวงการ “การศึกษา” โดยน้ำมือของ “ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร” อย่าง “เห็นแก่ตัว”..แล้วหรือยังครับ ??
ดังนั้น “ท่านผู้ปกครอง” ของเด็ก ๆ โรงเรียนวิถีธรรมแห่งนี้ จึงควรทราบว่า..รากฐานของปัญหาที่ทำให้เกิดผลงานเป็น “รั้ว” และ “ประตู” ของโรงเรียนวิถีธรรมเช่นนี้.. มีมาแต่จากตัวต้นเหตุคือ ผู้บริหารสูงสุด หรือ “อธิการบดี” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร แห่งนี้ด้วยครับ..
ไม่ใช่อยู่ที่เฉพาะตัวผู้ปฏิบัติที่เป็นคนลงมือทำ “รั้ว” และ “ประตู” ให้โรงเรียนนี้..เท่านั้น !!
ผมไม่ทราบว่า ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏอื่น ๆ ทั่วประเทศส่วนใหญ่..เป็นอย่างนี้หรือไม่ ??
แต่ผมคิดว่านี่แหละครับคือต้นตอของปัญหา..
ตัวผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏที่แย่ ๆ นี่แหละครับ..คือตัวปัญหาที่เป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่สุดของการฉุดรั้งการปฏิรูปอุดมศึกษาตามความตั้งใจของ ท่านเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ให้ถึงฝั่งฝันแห่งเป้าหมาย
(ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏที่ดี ๆ ก็ไม่ต้องร้อนตัวไปครับ เป็นบุญของราชภัฏนั้นและสังคมชุมชนในจังหวัดที่ราชภัฏนั้นตั้งอยู่แล้วครับ ดีใจกับราชภัฏที่มีผู้บริหารดี ๆ แห่งนั้นด้วยครับ)
จากประสบการณ์ยาวนานพอสมควรของผมในแวดวงการศึกษาไทยระดับอุดมศึกษาอย่าง “ราชภัฏ” ที่เห็นตัวอย่างของจริงมากมายจากมหาวิทยาลัยราชภัฏแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร มานานเกือบ 3 ทศวรรษ.. ผมขอย้ำอีกทีว่า..
Key success factor ของ “ราชภัฏ” ก็คือ…
“ตัวผู้บริหารมหาวิทยาลัย” (อธิการบดี) และ “พวก” ครับ
และในทางตรงข้าม ปัญหาหลัก ปัญหาใหญ่ ที่จะทำให้ “ราชภัฏ” ล้มเหลว เสียหาย ล้าหลัง และไม่ได้ผุดได้เกิด.. ก็คือ..
“ตัวผู้บริหารมหาวิทยาลัย” (อธิการบดี) กับ “พวก” เช่นเดียวกันครับ
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏ (อธิการบดี) กับ บรรดาพวกพ้องบริวารที่แวดล้อม จึงสามารถเป็นได้ทั้ง “ผู้ขับเคลื่อนความสำเร็จ” หรือ “ตัวปัญหา” ให้กับการพัฒนามหาวิทยาลัยก็ได้
ที่ไหนได้ดี ก็เจริญ หรือ success ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ เพราะสามารถทำให้ความหมายของคำว่า “ราชภัฏ” มีคุณค่าสูงส่งอย่างแท้จริง นั่นคือเป็นที่พึ่งพิงแก่สังคมและสร้างสรรค์ประโยชน์ให้ผู้คนส่วนใหญ่ได้มากมาย
ที่ไหนได้ไม่ดี ได้มาจากกลุ่มมัวเมาผลประโยชน์ เห็นแก่ตัว เห็นแก่พวกพ้อง บ้าระบบอุปถัมภ์แบบเลวร้ายอย่างโงหัวไม่ขึ้น..ทั้งยังไร้ฝีมือ ไร้ความรู้ความสามารถที่แท้จริงในการทำงานและการบริหารจัดการ.. ก็ถอยหลังลงเหว เสื่อมถอย ล้าหลังสุด ๆ อยู่ภายในกรอบกะลาเก่า ๆ แคบ ๆ ไปเรื่อย ๆ.. แถมยังไม่รู้ว่าตัวเองล้าหลังตกยุค ยังละเมอเพ้อพกกันอยู่แต่ในกลุ่มกะลาตัวเองโดยลืมวัดหรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ดีอย่างแท้จริงจากภายนอก
เมื่อเราได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงที่ผ่านมาอย่างไร้ข้อกังขาอีกต่อไปว่า..สิ่งนี้คือปัจจัยหลักและมีความสำคัญสูงมากชนิดชี้เป็นชี้ตายต่อการ “อยู่” หรือ “ล่มสลาย” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ
ที่เหลือก็ไปคิดต่อกันเองแล้วกันนะครับว่าจะทำอย่างไรกับการจะมี “ผู้บริหารราชภัฏและพวก” สำหรับทุกราชภัฏในอนาคต
อ้อ !.. อย่าลืม..พ่วงคำว่า “และ..พวก” ต่อท้ายเข้าไปด้วยนะครับ เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เราเกิดการเรียนรู้ว่า..มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ.. (โดยเฉพาะประสบการณ์จากยุคสมัยของ “อธิการบดีทองชุบ” แห่งราชภัฏสกลนคร..ชัด..ยิ่งกว่าชัด..จริง ๆ)…
สมัยก่อนเราอาจบอกแค่ว่า..ปัจจัยหลักต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของ
“ราชภัฏ” อยู่ที่ตัว “ผู้บริหารราชภัฏ” หรือ “อธิการบดี” โดยไม่ต้องมีคำว่า “และ..พวก” ต่อท้าย..ก็พอได้ครับ..
แต่สมัยนี้..กล้ายืนยันจากผลที่เกิดขึ้นจริงมาแล้วในมหาวิทยาลัยราชภัฏ ณ แยกบ้านธาตุ จ.สกลนครว่า..ไม่ได้ครับ.. ไม่ได้โดยเด็ดขาดที่จะดูแต่เฉพาะตัวคนที่จะมาเป็น “ผู้บริหารราชภัฏ” หรือ “อธิการบดี” โดยลำพังคนเดียวแบบแยกส่วนอย่างแต่ก่อนนั้น..ไม่พอแน่นอนครับ..ต้องดู “พวก” ของเขาในลักษณะการดูแบบองค์รวมทั้งหมดอย่างรอบด้านด้วยครับ..จึงจะสมบูรณ์
เพราะ ...
“พวก” ที่ดี ๆ…
หรือ “พวก” ที่เลว ๆ,
“พวก” ที่ฉลาด ๆ…
หรือ “พวก” ที่โง่ ๆ,
“พวก” ที่มีความรู้ความสามารถ…
หรือ “พวก” ที่ไร้ความรู้ความสามารถ
(เช่น คนเป็นอธิการบดีราชภัฏสกลนครเอาพวกตัวเองมาตั้ง
ให้เป็นถึง.. “รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร”… แต่ตลอดวาระของการ
อยู่ในตำแหน่ง 4 ปี.. พวกตัวเองคนนี้ทำเป็นแค่งาน “จัดเลี้ยง”...
จนมีคำถามดัง ๆ จากประชาคมในราชภัฏสกลนครทั้งหมดว่า..
เอามาเป็นรองอธิการบดีฝ่าย “บริหาร” หรือ เป็นรองอธิการบดี
ฝ่าย “อาหาร” ให้มหาวิทยาลัย..กันแน่ ? - เดี๋ยวจะเอารูปมาให้ดู
และเขียนเรื่องนี้..ถึงคน ๆ นี้..ให้ละเอียดในอีกตอนหนึ่งต่างหาก
โดยเฉพาะครับ),
“พวก” ที่มีอุดมการณ์…
หรือ “พวก” ที่ไร้อุดมการณ์,
“พวก” ที่ศรัทธาในระบบคุณธรรม (merit system) ในการบริหารงาน...
หรือ “พวก” ที่หลงใหลสนับสนุนระบบอุปถัมภ์ (patronage
system) ในการบริหารองค์กร,
“พวก” ที่มีจริยธรรม..
หรือ “พวก” ที่ไร้จริยธรรม
(เช่น ชอบผิดลูกผิดเมียคนอื่น, คบชู้, บ้ากาม, ใจทราม..
วัน ๆ คอยจ้องเฝ้าแต่จะเข้าหาเจ้าหน้าที่สาว ๆ และตามล่าหา
นักศึกษาหญิงมาเป็นเหยื่อสนองตัณหาและบำรุงบำเรอทางเพศ
ให้ตนเอง - แล้วยังมีหน้ามาเรียกตัวเองว่าเป็น “อาจารย์”...
หรือ..เป็น “ผู้บริหาร”… ถุยยส์..!!!)..
เหล่านี้…ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยหลักต่อการชี้ชะตาความ “สำเร็จ” หรือ “ล้มเหลว”.., และ “ก้าวหน้า” หรือ “ล้าหลัง” ของ “ราชภัฏ” ทุกแห่ง..โดยไม่แพ้ปัจจัยที่เป็นตัว “ผู้บริหารราชภัฏ”...หรือตัว “อธิการบดี”..เช่นกัน
(แถมให้นิดหนึ่งครับ..เกือบลืมประเด็นนี้ไป..ก็คือว่า..บางที่..ดูแต่ “พวก” ก็ไม่พอครับ..ต้องรวม “หวานใจ” เข้าไปด้วยครับ.. ไม่บอกนะครับว่าที่ราชภัฏไหน..แต่ยืนยันได้ล้านเปอร์เซ็นต์เลยครับว่า..มีจริง..!)
จากข้อ 1 ที่เป็นประเด็นเกี่ยวกับเรื่อง “รั้ว” และ “ประตู” ของโรงเรียนวิถีธรรม ที่ทำให้ผมไม่มีความแน่ใจว่าโรงเรียนแห่งนี้จะเป็นโรงเรียนแห่ง “วิถีธรรม” ตามชื่อได้จริงแล้ว
ต่อไป.. ก็มาถึงประเด็นของความไม่แน่ใจอีกข้อหนึ่ง..
เป็นข้อที่ 2 ครับ
2. ยางชะลอความเร็วรถ บนถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรม
เป็นอีกผลงานหนึ่งของโรงเรียนวิถีธรรมแห่งนี้ ที่ทำให้ผมไม่มีความแน่ใจว่าโรงเรียนของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครแห่งนี้จะเป็นโรงเรียนตามความหมายของคำว่า “วิถีธรรม” ได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ??
เพราะเป็นสิ่งที่โผล่ขึ้นมาสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเหลือเกิน !!
แถมด้วยความรู้สึกว่าเป็นโรงเรียนที่เห็นแก่ตัว เอาเปรียบคนอื่น เอาเปรียบสังคม เอาแต่ได้เฉพาะเรื่องของตัวเอง โดยไม่สนว่าสิ่งที่ตัวเองทำเพื่อเอาใจและตอบสนองแต่คนของโรงเรียนตัวเองนั้นจะไปเบียดเบียนและสร้างความลำบากเดือดร้อนแก่คนส่วนใหญ่รอบโรงเรียนนี้อย่างไร
เรื่องนี้.. มีคนสะท้อนมาที่ผมเยอะมากครับ..
เสียงสะท้อนส่วนใหญ่ออกมาเป็นความเดือดร้อนกันหมด และเป็นเสียงสะท้อนด้วยความเซ็งสุด ๆ กับ “ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้” ที่ช่างขยันสร้างแต่ปัญหาความเดือดร้อนให้ชาวบ้านตลอด...
ยิ่งอยู่นาน.. ยิ่งแก่เฒ่า.. ยิ่งปัญญาสั้น, ตื้น, และแคบ..ลงเรื่อย ๆ
เพราะนอกจากจะไม่สร้างผลงานใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์นำความก้าวหน้ามาให้มหาวิทยาลัย และต้องทำให้มหาวิทยาลัยเสียโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่าไปมากมายหลายอย่างแล้ว.. ก็ยังมาทำแต่เรื่องเสียหาย ทำความเดือดร้อนแก่คนอื่นชนิดถูกชาวบ้านที่ต้องสัญจรผ่านไปมาบนถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรมที่มียางชะลอความเร็วขวางอยู่นี้..ได้ก่นด่าสาปแช่งตลอดทุกวัน.. วันละหลายรอบ..เมื่อต้องสะดุดเจ้ายาง 2 เส้นนี้ในการฝ่าข้ามแต่ละครั้ง..!!
โรงเรียนที่สร้างความทุกข์ยาก ทำความลำบากเดือดร้อนแก่คนอื่น จนถูกชาวบ้านในชุมชนรอบ ๆ โรงเรียน..พากันสาปแช่งด่าทอในใจได้ตลอดเวลาที่ผ่านไปมาหน้าโรงเรียน..แบบนี้นั้น…จะมี “วิถีธรรม” ตามชื่อโรงเรียน…ได้อย่างไร ??
ไม่รู้ว่า.. “คนทำเรื่องนี้”... คิดและทำออกมาได้ยังไง..เพียงเพื่อให้ตัวเองปลอดภัย แต่เป็นความปลอดภัยบนความทุกข์ ความเดือดร้อน ความไม่สะดวกของคนอื่น (และเป็นคนอื่นที่เป็นคนส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัย และมีจำนวนมากกว่าคนโรงเรียนนี้ไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยเท่า)
เห็นภาพนี้แล้ว..สะท้อนใจจริง ๆ ครับ..ว่า..
อยู่ดี ๆ...ทำไม..พวกเขา..นักศึกษา 2 คนนี้..(รวมทั้งคนส่วนใหญ่กลุ่มอื่นๆ)..
ต้องมาเดือดร้อน ทุกข์ยากลำบากด้วยยางชะลอความเร็วรถ..จากพวกที่ชอบ
เอารัดเอาเปรียบคนอื่นในสังคมอย่าง “โรงเรียนที่เห็นแก่ตัว” โรงเรียนนี้..??
และทำไม..พวกเขา..ทั้งนักศึกษา 2 คนนี้..และคนส่วนใหญ่ที่นี่..
จะต้องมาแบกรับภาระที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน..กับความไม่สะดวกอย่างมาก
สำหรับการเดินทางสัญจรผ่านเส้นทางนี้..
และ..กับความเสียหายเสื่อมสภาพของรถที่โดนกระแทกให้สะสมความสึกหรอ
ไปเรื่อย ๆ ทุกวัน..
จากสิ่งแปลกปลอมที่โผล่ขึ้นมาบนถนนโดยที่พวกเขาไม่เคยร้องขอ..
และไม่เคยมีใครมาถามพวกเขาก่อนเลยว่า..ต้องการมันหรือไม่ ??
ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏ..แห่งแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร..แห่งนี้ ปล่อยให้มีสิ่งนี้ออกมาได้ยังไง..ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องมารับเคราะห์กรรมจากการกระทำอันเห็นแก่ตัวและเอาเปรียบคนอื่นในสังคม..ของกลุ่มพรรคพวกในระบบอุปถัมภ์ของตัวเองเพียงไม่กี่คน
แล้วยังจะมีหน้ามาอ้างว่า..การกระทำเช่นนี้ มี “วิถีธรรม” กับเขาได้ด้วยล่ะหรือ ??..,
แล้วยังจะมีหน้าไปสอน…ไปปลูกฝังเด็ก ๆ ของโรงเรียนแห่งนี้ให้มี “วิถีธรรม” ติดตัวไป..ได้จริงหรือ..??
จะแน่ใจได้หรือว่า..เด็ก ๆ ที่ผ่านโรงเรียนนี้จะมี “ธรรม” ติดตามตัวเขาไปด้วยเมื่อเติบโตขึ้น..??
เพราะเพียงแค่เริ่มต้น..ก็สอนให้เขารู้จักเรื่องของการเห็นแก่ตัว..,
เพราะเพียงแค่เริ่มต้น..ก็สอนให้เขารู้จักเรื่องของการเอาเปรียบ และการได้อะไรเหนือคนอื่นโดยไม่คำนึงว่าจะต้องแลกมาด้วยความเดือดร้อนลำบากของคนอื่นหรือไม่..,
เพราะเพียงแค่เริ่มต้น..ก็สอนให้เขารู้จักเรื่องของการทำสิ่งที่ “ไร้ธรรม” อย่างแจ้งชัด ด้วยผลงาน “ยางชะลอความเร็วรถ” ที่มาสร้างความรำคาญและทำความลำบากเดือดร้อนให้กับคนอื่นอย่างหนัก.. จนเจ้ายางชะลอความเร็ว 2 อันนี้..กลายเป็น “ฝันร้าย” สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ในราชภัฏสกลนครจำนวนมากมายที่ต้องเดินทางผ่านเส้นทางหน้าโรงเรียนนี้ทุกวัน..โดยแท้ !!
การสร้างความเดือดร้อนจนกลายเป็นความทุกข์ยากลำบากให้กับผู้คนในสังคมกันอย่างถ้วนหน้าเช่นนี้..ย่อมถือเป็น “การเบียดเบียนผู้อื่น”...
และ “การเบียดเบียนผู้อื่น” ย่อมไม่ใช่ “ธรรม”…อันแท้จริง,
และ..ยิ่งย่อมเป็นสิ่งที่ขัดกับปรัชญา “วิถีธรรม”...อย่างแน่นอน..!!
ผลงาน “ยางชะลอความเร็วรถ” ของโรงเรียนแห่งนี้..
จึงไม่ใช่.. วิถี “ธรรม” โดยเด็ดขาด
แต่ถือเป็น.. วิถี “อธรรม” ในความรู้สึกและความคิดคำนึงของคนส่วนใหญ่ในองค์กรราชภัฏสกลนคร..ต่างหาก..!!..
(รู้ไว้ซะด้วย..!!..พวกกลุ่มคนทำ..และพวกสนับสนุน..ที่โบราณล้าหลังทางความคิดความอ่าน..จนหลงยุคและตามโลกอนาคตไม่ทัน..ทั้งหลาย)
เรื่องนี้ยังไม่จบครับ…
เพราะประเด็น “ยางชะลอความเร็วรถ” ของโรงเรียนวิถีธรรมแห่งนี้..ยังมีเรื่องต้องคิด..ต้องพูด..ต้องชำแหละ..ต้องวิพากษ์..และ..ต้องเป็นปากเสียงให้คนส่วนใหญ่ในมหาวิทยาลัยที่เดือดร้อนลำบากจากเรื่องนี้..กันอีกเยอะครับ
แต่ขอไว้เป็นตอนหน้าแล้วกันนะครับ.. จะร่ายยาวกระแสความคิดของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้..ให้อ่านกันอย่างจุใจเต็มที่..ทีเดียวครับ l