ถูกแล้วครับ…!
ที่ผมไม่มีความแน่ใจว่าโรงเรียนที่ใช้ชื่อนี้ซึ่งตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร จะเป็นโรงเรียนตามความหมายของคำว่า “วิถีธรรม” อย่างแท้จริงหรือไม่ ?
หรือเพียงใช้แต่ชื่อ แต่เนื้อในนั้นไม่ใช่
ผมจึงใส่เครื่องหมายคำถามต่อท้าย เพื่อสื่อความคิดให้เห็นถึงความไม่แน่ใจปนความสงสัยผสมกัน
ผมมีความคิดหลายอย่างหลายประเด็นที่เป็นเหตุแห่งความสงสัยนั้น
ดังนี้ครับ
1. รั้วและประตูของโรงเรียนแห่งนี้
(ซึ่งเคยกล่าวไว้บ้างแล้วในบล็อกตอนที่ 4 ที่ผ่านมา)
ถ้าเราเอาคำ ๆ นี้.... คำว่า “โรงเรียน” เป็นตัวตั้งหรือตัวนำ
โดยหมายถึงคำ “โรงเรียน” ที่เป็นคำรวมๆไม่ต้องแยกว่าเป็นโรงเรียนระดับไหน..ของเด็กเล็กหรือเด็กโต
และเอาคำว่า “รั้ว” (รวมทั้งปัจจัยหรือองค์ประกอบอื่นๆที่จะสร้างประกอบกันขึ้นเป็น “โรงเรียน”) มาเป็นตัวตาม
ความคิดของผมที่เกิดขึ้นเป็นคำถามกับตัวเองว่า
มี “โรงเรียน” ที่ไหนมี “รั้ว” ในรูปแบบนี้บ้าง ?
ผมเคยเห็น “รั้ว” ของ “โรงเรียน” ที่ไหนมีลักษณะเป็นแบบนี้บ้าง ??
ผมได้คำตอบกับตัวเองหลังจากพยายามนึกทบทวนอยู่นานเหมือนกันว่า
เพิ่งพบเจอที่นี่เป็นที่แรก
และน่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตผมที่เห็น “รั้วลักษณะแบบนี้” ถูกนำมาใช้กับการทำ “โรงเรียน”
ซึ่งถือเป็นความ________ของคนทำและผู้บริหารมหาวิทยาลัยแห่งนี้มากครับที่สามารถเอาคำว่า “รั้วในรูปลักษณ์แบบนี้” ไปสัมพันธ์กับคำว่า “โรงเรียน” ได้อย่างหน้าตาเฉยชนิดไม่ต้องอายฟ้าอายดินกันเลยทีเดียว
(ผมเว้นช่องว่าง ________ ในย่อหน้าข้างต้น ให้เติมคำในช่องว่างกันเอาเองตามใจชอบครับ ใครอยากจะเติมคำว่า “ดี”, “สุดยอด”, “อัจฉริยะ”, “กล้าหาญ”, “เก่งกล้าสามารถ”, “เลอเลิศ”, ฯลฯ ก็ไม่มีใครไปว่าอะไรได้ครับ ! แต่ผมเชื่อว่าคนปกติทั่วไปที่ยังพอมีมโนสำนึกอันเป็นธรรมดาสามัญทั่วทั้งโลกนั้น จะเติมคำที่ตรงข้ามกับคำที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นเป็นส่วนใหญ่ครับ)
แค่นึกภาพและจินตนาการถึงการมี “รั้ว” รูปร่างลักษณะแบบนี้ปรากฎล้อมรอบ “โรงเรียน” ธรรมดาทั่วไป..ก็พอแฮงแล้ว
นี่ยังมาอยู่ล้อมรอบโรงเรียนที่ตั้งชื่อโปรโมทตัวเองว่าเป็น “วิถีธรรม” เข้าไปอีกด้วย ก็เลยยิ่งหนักเข้าไปกันใหญ่ !
นอกจาก “รั้ว” แล้ว.. “ประตู” ของโรงเรียนวิถีธรรมแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดาเลย
เช่นเดียวกับเรื่องรั้ว.. ประตูแบบนี้มันควรใช่ประตูของสถานที่ที่เรียกกันว่า “โรงเรียน” หรือ ??
ไม่มี “ทางเลือก” แบบอื่นอีกแล้วหรือ ??
อับจนหนทาง และหมดภูมิปัญญาที่จะคิดอ่านสร้างสรรค์งานประตูในลักษณะรูปแบบที่เป็น “ทางเลือก” อื่น ๆ นอกเหนือจากที่ทำมาให้เด็ก ๆ แบบที่เห็นนี้แล้วเชียวหรือ..เป็นถึงระดับ “มหาวิทยาลัย” กับเขาขนาดนี้..??
ไม่อายเจ้า “กอริลล่า” (หรือที่รู้จักกันดีในชื่อว่า “คิงคอง”) ตัวนี้เลยหรือ ที่ไปลอกแบบ “คอก” ของมันมาทำเป็น “ประตู” ให้โรงเรียนระดับ “วิถีธรรม” แห่งนี้..
จนเหมือนกันยังกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน.. และจนเด็ก ๆ อาจจะสงสัยว่านี่มันประตูของโรงเรียนเรา..หรือมันเป็นกรงกักขังเจ้ากอริลล่ากันแน่ ??
คนที่ “คิด” ออกแบบและทำ “ประตู” กับ “รั้ว” โรงเรียนออกมาเช่นนี้ ช่างไม่นึกถึงเลยว่า ภาพที่เวลาเด็ก ๆ มายืนเกาะซี่ประตู และเกาะกรงตาข่ายรั้วของโรงเรียน เพื่อรอคุณพ่อคุณแม่มารับ จะออกมาเป็นภาพเช่นไร ??
นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความสงสัยอีกว่าคนทำประตูกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครที่อนุมัติให้ทำประตูโรงเรียนแห่งนี้อาจจะไปเห็น “ประตูเรือนจำ” กันมากระมัง
จึงมาบอกช่างผู้รับเหมาว่าเอาแบบนี้แหละ เอาตามนี้แหละ ประตูเรือนจำหรือประตูโรงเรียนก็ same same กันนั่นแหละ ทำเลย ไม่ต้องคิดมาก เพราะ “กูมีหัวเอาไว้คั่นใบหู ไม่ได้มีไว้คิด !”
คาดเดาว่าคนทำกับผู้บริหารมหาวิทยาลัยคงจะพูดทิ้งท้ายไว้กับช่างผู้รับเหมาเช่นนั้น
ผลมันจึงออกมาในสไตล์รูปแบบที่ช่างละม้ายคล้ายคลึงกันเป๊ะ-เป๊ะ คือออกไปทางแนว “ซี่ลูกกรงเป็นซี่ ๆ” เหมือนกัน
จนแทบไม่มีความแตกต่างกันเลยระหว่าง “ประตูเรือนจำพิเศษกรุงเทพ” กับ “ประตูโรงเรียนวิถีธรรมของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร”
(น่าจะไปทำประตูและรั้วแบบนี้ไว้ที่บ้านของตัวเอง..ทั้งบ้านของคนทำ และ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่อนุมัติให้ทำ..บ้างนะครับ)
เห็นแล้ว ก็อดสะทกสะท้อนใจในภูมิปัญญาของ “ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ที่ดูแลรับผิดชอบการบริหารจัดการมหาวิทยาลัย และ ผู้ปฏิบัติที่เป็นคนคิด..คนสร้างให้เกิดประตูรั้วโรงเรียนวิถีธรรม..แบบนี้ไม่ได้
ภูมิปัญญาระดับแค่ทำประตูและรั้วโรงเรียนในมหาวิทยาลัยของตนยังได้ออกมาแค่ที่เห็นนี้ แล้วจะไปมีภูมิปัญญาที่มากพอสำหรับการทำเรื่องใหญ่ ๆ ยาก ๆ กว่านี้ เช่น เรื่องการจัดการศึกษาให้นักศึกษาลูกหลานชาวบ้านมีคุณภาพดีจริง และให้ยังประโยชน์แก่สังคมไทยแท้จริง..ได้หรือ ???
ผมมีความคิดที่เป็นคำถามว่า เด็ก ๆ ที่อยู่ท่ามกลางการแวดล้อมด้วยรั้วและประตูแบบนี้นาน ๆ จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างสิ่งต่าง ๆ ได้ดีพออย่างไร ?
ในเมื่อได้รู้สึกกับตนเองเสียแล้วว่าไปห้าง, ไปสวนสัตว์, ไปสนามกีฬา และไปโรงเรียนก็เจอสิ่งแวดล้อมที่เป็นกำแพงรั้วรอบตัวที่เหมือน ๆ กัน ไม่มีความแตกต่างกันอย่างเด่นชัดเลย
และผลที่ตามมาก็คือเขาจะสามารถพัฒนา “ความคิดเชิงระบบ” หรือ “การคิดทั้งระบบ” (system thinking) ให้กับตนเองได้ดีพออย่างไรเมื่อโตขึ้น ??
เมื่อเราพาเขาไปทัศนศึกษาหรือไปเที่ยวสวนสัตว์ยามปิดภาคเรียน
เราอาจจะต้องเตรียมคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้จากลูกหลานของเราที่เรียนในโรงเรียนที่มีรั้วและประตูแบบนี้ว่ากระไรดี..ถ้าถูกเขาถามด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ว่า
“คุณพ่อครับ... ทำไมจามรีตัวนั้น ถึงเข้าไปอยู่ในรั้วแบบที่ผมอยู่ที่โรงเรียนเลยล่ะครับ”
“คุณแม่ค่ะ.. ดูซิค่ะนั่น.. กอริลล่าตัวนี้อยู่ในกรงแบบเดียวกับประตูรั้วของโรงเรียนหนูเลยค่ะ..ดูท่าทางน่าสงสารจังเลยนะค่ะคุณแม่.. ว่าแต่..เอ..ทำไมที่อยู่ของเจ้ากอลิร่ามันถึงมาเหมือนกับโรงเรียนที่หนูอยู่ล่ะค่ะคุณแม่”
หรือคำถามทำนองเดียวกัน เมื่อพาพวกเขาไปห้าง..ไปสนามกีฬาบางประเภท.. เช่น
“คุณพ่อครับ.... ทำไมเมื่อผมเข้ามาถึงลานบริเวณห้างนี้.. ผมจึงรู้สึกว่ามันเหมือนกับได้อยู่ในโรงเรียนวิถีธรรมของผมเลยล่ะครับ ?”
“คุณแม่ค่ะ ทำไมที่รายล้อมรอบตัวหนูของสนามกีฬาแห่งนี้จึงทำให้หนูรู้สึกคุ้นเคยมากค่ะ มันไม่ต่างไปจากที่แวดล้อมรอบตัวหนูทุกวันที่โรงเรียนวิถีธรรมเลยค่ะ”
ซึ่งถ้าเราปล่อยไป ไม่เตรียมหาคำตอบดี ๆ และถูกต้องเหมาะสมไว้ให้กับคำถามอันมีนัยแห่งการรู้จักคิดแยกแยะอย่างเป็นระบบของลูกหลานเราเหล่านั้นแล้ว
รากฐานของการจะฝึก จะสร้าง และจะพัฒนา “ความคิดเชิงระบบ” (system thinking) ให้ติดตัวเติบโตไปกับเด็ก ๆ ลูกหลานอันเป็นที่รักยิ่งของเราก็จะถูกทำลายให้พังทลายไปตั้งแต่เยาว์วัยอย่างน่าเสียดายยิ่ง
(Link : http://council.snru.ac.th/components/gallery/gall_pic.php?idgall=3)
ที่สุด ก็จะผลิตเด็กๆ ให้กลายมาเป็น “ผู้ใหญ่” ที่ไร้ความคิดเชิงระบบออกสู่สังคมไทยอย่างมากมายเต็มไปหมด
และเป็น “ผู้ใหญ่” ที่ออกมาสร้างปัญหาให้ประเทศชาติบ้านเมืองด้วยการทำงานและสร้างผลงานดังเช่นตัวอย่างที่ได้เกิดขึ้นจริงแล้ว..ต่อไปนี้ :
1. การทำ “รั้ว” และ “ประตู” ให้โรงเรียนวิถีธรรมแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ในรูปลักษณ์ที่เห็นกันอยู่นี่แหละครับ ที่เป็นผลงานอันเนื่องมาแต่การขาดความคิดเชิงระบบพื้นฐานอย่างหนักหน่วงรุนแรงของคนทำและผู้บริหารมหาวิทยาลัยแห่งนี้
จึงสร้างผลงานล้าหลังชนิดไร้ความคิด “เชิงระบบ” มารองรับ..ให้ปรากฎออกมาเช่นนี้ได้ (นอกจากไร้ความคิดเชิง “วิถีธรรม” อย่างแท้จริงสำหรับรั้วและประตูรูปแบบนี้ตามที่เคยกล่าวไว้บ้างแล้วในตอนที่ 4 ที่ผ่านมา)
2. การปลูก “มะละกอ” ผสมมั่วกับ “ลั่นทม” เป็นทิวแถวยาวไปตามริมถนนสายหลักภายในมหาวิทยาลัย..
ที่ผ่านทั้งอาคารเรียน (อาคาร 10), อาคารอำนวยการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้บริหาร (อาคาร 10 เช่นกัน), และหอประชุมใหญ่ของตัวเอง
จนไม่รู้ระบบอะไรเป็นอะไร และจนไม่รู้ว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ใช้หลักคิดอะไรในการทำสิ่งนี้
ทั้งยังกล้าปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นสภาวะไร้ระบบมายาวนานอยู่ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้ซึ่งถือว่าเป็นถึงสถาบันการศึกษาระดับ “อุดมศึกษา”
และจนไม่รู้ว่าจะสอนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยตนเองที่ต้องเดินผ่านไปมาและเห็นผลงานความไร้ระบบที่เกิดขึ้นจริงแบบนี้ทุกวัน..ในหมวดวิชาการศึกษาทั่วไป (General Education) ว่าอย่างไรดี ไม่ว่าจะเป็นวิชาพวกที่เกี่ยวกับ “การคิด” หรือวิชาพวกที่เกี่ยวกับเรื่องของ “สุนทรียภาพ”
หรือวิชาที่ชอบโฆษณาโอ้อวดตัวเองนักหนาว่าเป็นวิชาที่วิเศษเหลือเกินกว่าใครเขา..อย่างวิชาที่ชื่อ “วัฒนธรรมแอ่งสกลนคร” นั้น.. มีคำถามตัวโต ๆ จากสังคมมาว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้จะสอนรายวิชานี้ด้วยของจริงที่เกิดขึ้นชัดๆ ในพื้นที่มหาวิทยาลัยตนเอง..ให้แก่นักศึกษาอย่างไร..? และออกมาในแนวไหน ??
จะสอนว่า..ผลงานข้างบนที่ทำมาอวดให้นักศึกษาเห็นจริงอยู่ตำตาทุกวันเป็น “วัฒนธรรม” ของเผ่าชนที่อาศัยอยู่บริเวณ “แอ่งสกลนคร” กระนั้นหรือ ??
จะสอนว่า..“คนที่อยู่บริเวณแอ่งสกลนคร” ต้องมี “วัฒนธรรม” ในการบริหารจัดการสถานที่และตกแต่งภูมิทัศน์ของสถานศึกษาด้วย “มะละกอ” กับ “ผักสลัด” หรือ “ผักกาดหอม” ตามแบบฉบับของคุณดังที่เห็นในภาพ..อย่างนั้นหรือ ??
ในเมื่อคุณเปิดสอนวิชาเช่นนี้ แล้วคุณกล้าทำผลงานของจริงออกมาอย่างที่เห็นนี้ จะให้สังคมและคนทั้งประเทศคิดและเข้าใจไปเป็นอื่นได้อย่างไร นอกจากจะคิดและเข้าใจไปว่าบริเวณ “แอ่งสกลนคร” เขามี “วัฒนธรรม” กันเช่นนี้เอง !!
หรือว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏของคุณ..ในห้องเรียนสอนอย่างหนึ่ง..แล้วนอกห้องเรียนก็สอนให้เห็นกันอีกอย่าง..
ในห้องเรียนจะว่าอะไรตามตัวหนังสือก็ว่าไป ส่วนของจริงนอกห้องเรียนก็ว่าไปอีกทาง..ชนิดที่ไม่ต้องไปสนใจเรื่องในห้องเรียน และไม่ต้องไปคำนึงถึงความสอดคล้องสัมพันธ์เชื่อมโยงเกี่ยวข้องระหว่างกัน..
ผลมันจึงออกมาดังภาพที่เห็น…!!
และผลมันจึงออกมาฟ้อง “คุณภาพ” ของคนเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้ว่าขาดคุณภาพ..ขาดความรู้ความสามารถที่แท้จริงที่จะบริหารการศึกษาในมหาวิทยาลัยของตนให้ได้ความเป็น “องค์รวม” อย่างสอดประสานรับกันหมดในทุกด้านทุกเรื่องของเป้าหมายทางการศึกษา..ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
ทำให้มีแต่การบริหารมหาวิทยาลัยแบบ “แยกส่วน” ไปสียทุกเรื่องทุกด้านของผู้บริหารยุคนี้ที่มือไม่ถึงและขาดการเอาใจใส่อย่างหนักจนปล่อยให้ในห้องเรียนสอนอย่างหนึ่ง แล้วปล่อยให้นอกห้องเรียนทำไปอีกแบบหนึ่งที่ขัดกัน ไม่สอดคล้องต้องกันและหาความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันไม่ได้เลยแบบที่เห็นจากข้างต้น
ซึ่งผู้บริหารแบบนี้ย่อมไม่ใช่ผู้บริหารที่จะมีคุณภาพและศักยภาพดีพอที่จะทำให้มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครแห่งนี้เติบโตก้าวหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการศึกษาตามปรัชญาและอุดมการณ์ทางการศึกษาที่แท้จริงยิ่ง ๆ ขึ้นไปได้เลย…
หรือใครจะเถียง ??
เฮ้อ !..(ขออนุญาตถอนหายใจหน่อยครับ)…เห็นภาพแล้ว...แทบไม่น่าเชื่อเลยว่านี่จะเป็นภาพของดินแดนที่ถูกเรียกว่า “มหาวิทยาลัย” ซึ่งควรเป็นดินแดนของประชาชนไทยทั้งมวล ไม่ใช่ดินแดนของใครและพวกกลุ่มหนึ่งที่จะมายึดเอาเป็นของตัวเองแล้วคิดอยากจะมาทำอะไรมั่ว ๆ ชั่ว ๆ เละเทะตามอำเภอใจโดยไม่รู้ว่าอะไรควร..ไม่ควร..อะไรเหมาะสม..ไม่เหมาะสม..แบบที่เห็นข้างต้นก็ได้
นี่..นึกอยากจะปลูกมะละกอผสมมั่วกับลั่นทม..ก็ปลูกเฉยเลย โดยไม่รู้สึกอายสายตาชาวบ้าน..ผู้ปกครองของนักศึกษาที่เข้ามาในมหาวิทยาลัย และโดยไม่มีฐานของ “ความคิดเชิงระบบ” อะไรที่เหมาะสมถูกต้องและพร้อมจะอธิบายแก่สังคมให้เข้าใจได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล..มารองรับการปลูกในกรณีนี้เลยซักนิดเดียว
เฮ้อ !…เห็นภาพแล้ว... ก็เกิดคำถามว่า ในเมื่อเอ็งกล้าปลูก และกล้าปล่อยทิ้งไว้นานตั้งหลายปี (จนมะละกอออกลูก ตามภาพที่เห็นข้างบน) ก็แสดงว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้โดยเฉพาะผู้บริหารมหาวิทยาลัยยอมรับในสิ่งนี้ และคิดว่านี่เป็นสิ่งถูกต้อง..ไม่เห็นน่าอาย..สามารถทำได้
ดังนั้น อีกคำถามที่ตามมาก็คือว่า แล้วเอ็งจะเสียเวลา เสียเงินเสียทองที่หมดไปกับการจ้างคน..จ้างบริษัทพวกนี้..มาจัดสวนหย่อมที่ใช้ไม้ดอกไม้ประดับทีละเป็นแสนเป็นล้านทำไมให้เปลืองเงินแผ่นดิน ?
แล้วเอ็งไปผลาญงบประมาณด้วยการซื้อพรรณไม้ประดับที่ใส่ถุงเขียว ๆ พวกนี้..ในปริมาณมากมายมหาศาลมาให้มหาวิทยาลัยเอ็งครั้งละเป็นหลายแสนบาท..ทำไม ?
ทำไมเอ็งไม่ทำ “สวนหย่อมมะละกอ” เองเสียเลย ??
ไม่เสียเงินค่าพรรณไม้ แล้วยังทำเองก็ได้ ไม่ต้องจ้างพวกบริษัทรับจัดสวนมาทำให้ เสียตังค์น้อยกว่าเยอะด้วย ไหนจะเก็บกินเก็บขายได้อีก
แล้วยังเอาเงินเป็นแสน ๆ ล้าน ๆ ที่เอ็งประหยัดได้จากการที่ไม่ต้องจ้างบริษัทภายนอกเขามาจัดสวน..ไปทำประโยชน์อย่างอื่นให้คนทั้งในและนอกมหาวิทยาลัยได้อีกจำนวนมาก..!!
เห็นภาพแล้ว... ก็ให้เกิดอาการขนลุก กับการทำสวนหย่อม “มะละกอ” ผสม “ลั่นทม” แถมด้วยแถว “เทียนทอง” แซมไว้ด้านล่างโคนต้นมะละกอให้กับ “อาคารอำนวยการ” (อาคาร 10) อันเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายบริหารสูงสุดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ซึ่งการทำอยู่บริเวณอื่นของ campus ก็นับว่าแย่แล้ว นี่ยังดันมากล้าทำให้กับอาคารอำนวยการ อาคารที่รวมศูนย์การบริหารงานมหาวิทยาลัยของตัวเอง ก็ยิ่งหนักหนาสาหัสจนไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก !!
และยิ่งสะท้อน "มันสมอง“ ของฝ่ายบริหารมหาวิทยาลัยแห่งนี้เข้าไปถึงไหนต่อไหนกับการปล่อยให้มีการจัดสวนหย่อมมะละกอผสมกับไม้ดอกอื่น ๆ ประดับไว้ที่อาคารอำนวยการที่ทำงานของตนเองนี้ได้..
ก็ลองจินตนาการตามเข้าไปดูในก้อนสมองของเขาเอาเองแล้วกันครับว่ายังหลงเหลือ “ปัญญา” (wisdom) ที่แท้จริงอยู่อีกหรือไม่ ??
3. ปลูก “ผัก” ผสมกับ “ไม้ดอก” กลายเป็นทั้ง “ระบบสวนครัว” กับ “ระบบสวนหย่อม” อยู่ในที่เดียวกันภายในมหาวิทยาลัยแถวแยกบ้านธาตุแห่งนี้ ซ้ำยังปลูกไว้อยู่หน้าหอประชุมของตนเองซะด้วย
ชนิดไม่รู้จะไปสอนนักศึกษาที่หลงทางมาเรียนที่นี่..ให้หาตัวอย่างที่ดีในสถานศึกษาดูกันได้อย่างไรแล้วล่ะครับพ่อแม่พี่น้องไทยทั่วประเทศเอ๋ย !!
เพราะถ้านักศึกษาเอาคำถามลักษณะเดียวกับที่ถามเรื่องการปลูกสวนหย่อมมะละกอข้างต้นมาถามพวกอาจารย์ที่นี่จริง ๆ ว่า
“ทำไมอาจารย์ไม่ทำ ‘สวนผัก’ หน้าหอประชุม แทน ‘สวนหย่อมไม้ดอกไม้ประดับ’ เสียเลยล่ะครับ/ค่ะ…?? ถูกกว่ากันเยอะด้วย ไม่ต้องเสียเงินเป็นหลายแสนหลายล้านค่าจัดสวนหย่อม แถมยังเก็บผักไปทำอาหารกินได้อีกด้วย”
จะมีคำตอบให้นักศึกษากันว่าอย่างไร ??
อีกอย่าง.. การปล่อยให้ “นักศึกษา” ได้เห็นผลงานในสิ่งที่อาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัยของพวกเขาทำไว้เยี่ยงนี้ทุกวัน ทำให้เกิดความคิดตามติดต่อมาว่า เราจะเอาอะไรไปสอน ไปฝึกอบรมนักศึกษาเขาในเชิงวิชาการและทักษะวิชาชีพกันล่ะครับ
จะไม่ถูกบรรดาเหล่านักศึกษาย้อนกลับมาหรือ..??
ว่าให้ไปดูฝีมือและผลงานจริงจากการกระทำทิ้งไว้ให้เห็นตำตาอยู่ทุกวันดังภาพตัวอย่างข้างต้นของพวกครูอาจารย์และผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่นี่ก่อน
ขอแทรกความคิดเพิ่มเติมในเรื่องนี้หน่อยครับว่า..
หรือนี่เป็น trend ของ..มหาวิทยาลัยราชภัฏทั้งหมดทั่วประเทศ ที่สอนกันมาให้ทำสวนหย่อมสไตล์นี้ ?
หรือว่าเป็นพฤติกรรมเฉพาะตัวของ “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” เท่านั้นที่ชอบทำผลงานแบบนี้..??...
ราชภัฏอื่นไม่มีที่ไหนเขาทำกัน เพราะเขาไม่มั่วเละเทะ และมียางอาย รู้ผิดรู้ถูก รู้ผิดชอบชั่วดีในเรื่องการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยในเรื่องพวกนี้ดีมากพอ
ไม่รู้คนของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครแห่งนี้จัดไปดูงานกันมาแล้วทั่วโลกประสาอะไร ถึงไม่เกิดความคิดว่า
ได้เคยไปเห็นมหาวิทยาลัยทั่วโลกที่ไหนเขาจัดสวนหย่อมภายใน campus ไม่ว่าจะเป็นบริเวณอาคารเรียน, อาคารอำนวยการ, หอประชุม.. แบบมี “ผักกาดหอม” และ “มะละกอ” ปนอยู่ด้วยแบบนี้บ้าง..??
ไม่ต้องดูอื่นไกล ไม่ต้องไปถึงจังหวัดอื่นและถึงต่างประเทศ
ให้ไปดูใกล้ ๆ ภายในจังหวัดเดียวกันและอยู่ห่างจากราชภัฏสกลนครไม่เกิน 20 กิโลเมตร
อย่างที่ “มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร”
ไปดูว่าสวนหย่อมแบบผสม “มะละกอ” และ “ผักกาดหอม” อย่างของ “ราชภัฏสกลนคร” มีหรือไม่ ??
หรือจะไปดูของหน่วยงานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่หน่วยงานทางการศึกษา
ซึ่งไม่ต้องไปให้ไกลที่ไหนเลย ดูเปรียบเทียบกันอยู่ภายในจังหวัดสกลนครก็พอ และอยู่ไม่ไกลจากราชภัฏสกลนครด้วย
อย่างที่ “สระพังทอง” ของ เทศบาลเมืองสกลนคร
หรือของภาคเอกชน..อย่างสวนอาหารที่มีชื่อว่า
“บ้านสวนเศวตกมล” ที่ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
ชนิดที่ไปเห็นแล้ว ก็ปลง..เมื่อถูกนำมาเทียบเคียงเปรียบเทียบกันกับ “สวนหย่อมผักกาดหอม” (หรือผักสลัด) และ “สวนหย่อมมะละกอ” ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร
และยิ่งปลงหนักขึ้นเมื่อนึกไปถึงการสู้ภาคเอกชนไม่ได้-ตามภาคเอกชนไม่ทัน..แม้กระทั่งแค่เรื่องการจัดสวน
ทั้งยังต้องถูกทิ้งให้ตามห่างออกไปเรื่อย ๆ จนไม่รู้ในอนาคตจะตามทันหรือเปล่า ?
แทนที่ “มหาวิทยาลัย” จะมีบทบาทในการนำภาคส่วนอื่นของสังคม…ให้สมกับความคาดหวังที่สังคมมอบบทบาทภาระหน้าที่ให้เป็นผู้ชี้แนะชี้นำคนอื่นทางวิชาการความรู้ด้านต่าง ๆ ดังที่โฆษณาตัวเองไว้มากมาย
เช่น บอกว่า..ตัวเองเป็น..
สถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น, เป็นศูนย์กลางทางวิชาการและเครือข่ายการเรียนรู้,
เป็นมหาวิทยาลัยที่มุ่งความเป็นเลิศทางวิชาการ,
ชี้นำการพัฒนาท้องถิ่นและสังคม,
พัฒนาองค์ความรู้ และถ่ายทอดความรู้สู่การพัฒนาท้องถิ่น… เป็นต้น… (ตามลิงค์นี้ครับ...
http://www.snru.ac.th/components/contents/view.php?id=537)
ขอประทานโทษเถิดครับ.. แค่เห็นตัวอย่างการจัดสวนของมหาวิทยาลัยคุณเปรียบเทียบกับของเอกชนแล้ว..
คุณยังคิดว่า..ตัวคุณจะไปพัฒนาท้องถิ่นให้เขาได้อีกหรือครับ ??
คุณจะเป็นสถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น
หรือจริง ๆ แล้ว..คุณเป็นได้แค่สถาบันอุดมศึกษาที่ต้องถูกท้องถิ่นพัฒนา..กันแน่ครับ ??
อย่างกรณีตัวอย่างข้างต้น เห็นชัดว่า แค่เรื่องการจัดสวน มหาวิทยาลัยอย่างคุณต่างหากนะครับที่จำเป็นต้องให้ท้องถิ่นเขามาช่วยพัฒนาตัวคุณในด้านนี้อย่างหนักและเร่งด่วนด้วย !!
ประเด็นอื่นก็เหมือนกัน…
ทั้งเรื่องการเป็น “ศูนย์กลางทางวิชาการ”
และการมุ่ง “ความเป็นเลิศทางวิชาการ”
ช่างไม่กระดากปากและอายเป็นกันบ้างเลยนะครับที่ยังกล้ายกให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางทางวิชาการ และมีความเป็นเลิศทางวิชาการกับผลงานรูปธรรมที่ออกมาให้คนชมเป็นขวัญตาดังเช่นข้างต้นนี้
หรือคุณนิยามและเรียกกันเองในหมู่พวกมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครของคุณว่า การจัดสวนหย่อมด้วยแปลง “ผักสลัด-ผักกาดหอม” และ “มะละกอ” นี่คือความเป็นเลิศทางวิชาการ..อย่างสุดยอดในความหมายของพวกคุณจนสามารถประกาศให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางทางวิชาการในท้องถิ่นนี้ได้
ยิ่งประเด็นที่บอกว่าตัวเองมีการ “พัฒนาองค์ความรู้และถ่ายทอดสู่การพัฒนาท้องถิ่น” นี่ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ครับ !!
แหม..ถ้าไม่เสียดายของอร่อย ๆ ที่เพิ่งกินเข้าไป ก็อยากจะอ๊วกออกมาด้วยความทุเรศปนสมเพชเหลือคณาว่า พัฒนาองค์ความรู้ออกมาได้แบบ “สวนหย่อมมะละกอ” และ “สวนหย่อมผักกาดหอม” นี่นะ.. ยังกล้าจะไป “ถ่ายทอด” ความรู้ให้คนอื่น..
ยังกล้าจะไปถ่ายทอดสู่การพัฒนาท้องถิ่นกับเขาด้วย..
ขอโทษ..จะให้ชุมชนท้องถิ่นเขาจัดสวนหย่อมมะละกอ..สวนหย่อมผักกาดหอมตามแบบมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครของคุณหรือ ??
คุณไม่สงสารท้องถิ่นที่คุณจะไปพัฒนาเขาด้วยวิชาการและองค์ความรู้เช่นนี้ของคุณกันบ้างหรือ ?
สงสัยที่ราชภัฏแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร..แห่งนี้ไม่มีกระจกเงาไว้ส่องดูตัวเองจริง ๆ !!
ผลงานแบบนี้เขามีแต่จะต้องปักป้ายไว้หน้าสวนหย่อมแล้วขึ้นตัวหนังสือเป็นข้อความบนป้ายว่า
“โปรดใช้วิจารณญานในการลอกเลียนแบบ”
เพื่อเตือนคนที่ผ่านไปมาสวนหย่อมนี้ หรือที่มาดูงานด้านสถานที่ที่ราชภัฏของคุณให้ระมัดระวังตัวไว้ว่าอย่าเผลอไปเลียนแบบทำตามละไม่ว่า
ดูได้จากสวนหย่อมที่สระพังทอง
หรือสวนหย่อมของท้องถิ่นของภาคเอกชนในชุมชนสกลนครที่เอารูปตัวอย่างมาให้ดูข้างบน..
มีที่ไหนเขาเลียนแบบความเป็นเลิศทางวิชาการ และทำตามองค์ความรู้ที่มาจาก “ศูนย์กลางทางวิชาการ” อย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏของพวกคุณกันบ้าง ???
ลองหลับตาจินตนาการดูว่า..ถ้า เทศบาลเมืองสกลนคร เลียนแบบ..ทำตาม.. โดยปลูก “มะละกอ” แทรกเข้าไประหว่างต้นปาล์มในสวนอีกมุมหนึ่งของ “สระพังทอง” ตามภาพนี้บ้าง.. ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ??
(ความจริง น่าทำกราฟิกจำลองให้ภาพนี้ โดยใส่มะละกอผสมแทรกสลับเข้าไประหว่างต้นปาล์มตามแบบการจัดสวนของพวกราชภัฏสกลนครดูเหมือนกันนะครับว่าจะออกมาอุจาดและอุบาทว์ได้ใจคนดูทั้งประเทศและทั้งโลกแค่ไหน - ไว้เดี๋ยวว่าง ๆ ผมมีเวลาหน่อย..จะลองทำกราฟิกนี้มาให้ดูกันครับ)
แต่..ถ้ายังเชื่อมั่นในความเป็นเลิศทางวิชาการของ มหาวิทยาลัยราชภัฏของคุณ ก็ลองไปขอให้ เทศบาลเมืองสกลนคร เขาปลูก “มะละกอ” กับ “ผักกาดหอม-ผักสลัด” ใส่เข้าไปในสวนของเขาที่ “สระพังทอง” ตามภาพนี้ก็ได้
โดยขอให้เขาปลูกสลับแซมไปกับพรรณไม้เดิมที่เห็นอยู่ในภาพตามแบบฉบับที่คุณทำอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏของคุณ
แล้วลองดูว่าเขาจะทำตาม “ความเป็นเลิศทางวิชาการแบบของราชภัฏคุณ (คนเดียว)” ไหม ??
ผมคิดว่า..นอกจากไม่ทำตามแล้ว..
เขายังจะหาว่า..มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครของคุณ..เข้าขั้น “บ้า” เอาด้วย !!
เอาแค่ 3 ตัวอย่างเบื้องต้นนี้ก่อนนะครับ…
(ความจริงยังมีตัวอย่างที่พบเห็นดาษดื่นอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏแถวแยกบ้านธาตุแห่งนี้อีกเยอะครับที่ล้วนแล้วแต่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงผลของการขาดความคิดอย่างเป็นระบบในการทำงานและการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยของผู้บริหารและคนดูแลรับผิดชอบตลอดหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา.. แต่จะค่อย ๆ ทยอยนำเสนอในตอนต่อ ๆ ไปนะครับ)
เห็น 3 ตัวอย่างข้างต้นนี้แล้ว ทำให้อดนึกถึง 2 ท่านนี้ไม่ได้ครับ !
ท่านหนึ่งคือ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ –
ฯพณฯ ชินวรณ์ บุณยเกียรติ ครับ
อีกท่านหนึ่งคือ ท่านเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) –
ดร.สุเมธ แย้มนุ่น ครับ
เหตุแห่งการนึกถึงทั้ง 2 ท่านนี้..มีคำอธิบายอยู่มากมายพอสมควรครับ
แต่ขอไว้บอกเล่าในตอนหน้านะครับ
สำหรับตอนนี้..ขอจบลงตรงนี้ก่อนนะครับ.. l