อีกความคิดต่อมา..เกี่ยวกับเรื่องการประเมินฯอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประจำปี 2554 ของ “คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงาน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร”
ก็คือ…
ถ้ารูปแบบและเนื้อหาของวิธีการที่ใช้ในการประเมินฯการจัดการศึกษาของสถาบันการศึกษาในไทยแบบที่ทำกันอยู่อย่างซ้ำซากและทำตาม ๆ กันมายาวนานหลายสิบปีนี้...มัน “เวิร์ค” (work) จริง.. และมันใช้ “วัด” (measure) ผู้ถูกประเมินฯในวงการศึกษาไทยอย่างได้ผลแท้จริงแล้ว...
ทำไม.. และ.. ทำไม ??...
ผ่านมายาวนานนับหลายสิบปีมากขนาดนี้ การจัดการศึกษาไทย (โดยเฉพาะผ่านตัวแทนระดับ “อุดมศึกษา” ที่ชื่อ “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร”) จึงยังไม่ไปถึงไหน.. ?.. ยังให้ผลลัพธ์ของจริงเป็นการเขียนหนังสือออกมาสู่สายตาสังคมไทยได้แค่แบบตัวอย่างที่เห็น !
ระดับ “มหาวิทยาลัย” เขียนหนังสือแบบนี้ได้อย่างไร ???..!!!
ระดับ “อุดมศึกษา” เขียนหนังสือแบบนี้ได้อย่างไร ???..!!!
และเชื่อว่าถ้าไม่เขียนทักท้วงไว้ในวันนี้ ครั้งต่อ ๆ ไป ก็จะเกิดการศึกษาแบบผิด ๆ ดังกรณีเช่นนี้ขึ้นมาอีกได้ และผ่านเลยยาวไกลไปในอนาคต ก็จะยิ่งเกิดความเสียหายหนักต่อวงการศึกษาไทยมากขึ้น
เพราะถ้าลองปล่อยให้มีผลของการจัดการศึกษาเกิดขึ้นแบบตัวอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ แล้ว วงการศึกษาของไทยจะได้ชื่อว่า มีการพัฒนาดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้น รุ่งเรืองขึ้น สร้างสรรค์ขึ้น และงอกงามขึ้นได้อย่างไร ??
มีแต่จะได้ชื่อว่า “ตกต่ำ” ถึง “โคตรจะตกต่ำ” ในสายตาของทั้งสังคมไทยและสังคมประชาคมอาเซียน (ยังไม่ต้องให้ถึงระดับสายตาของทั้งสังคมโลกรวมกันทุกทวีปมามองดูหรอกครับ มีการศึกษาโดยการเขียนหนังสือแบบ “ราชภัฏสกลนคร” อย่างนี้นั้น แค่ระดับ “อาเซียน” ก็อับอายขายขี้หน้าเขาจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วครับ)
นอกจากนี้ ถ้าไม่เขียนทักท้วงติติงกันไว้ตั้งแต่ตอนนี้ แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้ใครจะทำอะไรแบบไหนก็ทำไปกับการศึกษาไทย...(โดยถือว่าธุระไม่ใช่ และไม่ได้ทำให้ตัวเองมีเงินเดือนขึ้น หรือ มีข้าวกินมากขึ้น หรือ ได้ตำแหน่งสูงขึ้น หรือ ได้รับคะแนนดีขึ้นจากการประเมินฯตัวเอง ฯลฯ เพราะเรื่องแบบนี้ไม่มีอยู่ในเกณฑ์ตัวชี้วัดของการประเมินฯใด ๆ กับเขา)..แล้ว... ก็จะส่งผลกระทบเป็นความเสียหายต่อสังคมไทยในวงกว้างตามมาอีกด้วย..
แถมยังอาจจะถูกกล่าวหาได้ว่า การศึกษาไทย โดยเฉพาะระดับอุดมศึกษาอย่างราชภัฏ เป็นผู้สร้างปัญหาให้สังคมไทย แทนที่จะเป็นผู้ช่วยสร้างสรรค์พัฒนาบ้านเมืองไทย !!
เพราะอะไร ??
เพราะจะมีคนไปทำตามตัวอย่างที่เอามาแสดงให้ดูแบบที่ติดหน้าโรงยิมส์ของราชภัฏแห่งนี้ไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ “นักศึกษา” ที่มาเรียนที่นี่ และ บุคคลากรภายนอกอื่น ๆ ที่เข้ามาติดต่องานหรือเข้ามาฝึกอบรมด้านต่าง ๆ ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้
ด้วยกลุ่มคนที่เข้ามาเห็นตัวอย่างนี้ บางคน..บางกลุ่มมีความคิดแต่เพียงง่าย ๆ ว่า นี่เป็นงานในระดับ “มหาวิทยาลัย” เขาทำกัน..
เคยสำเหนียก..ทั้งเคยละเอียดอ่อนในความคิดและจิตสำนึกกันบ้างหรือไม่ว่า.. ในสังคมไทยแต่ไหนแต่ไรมานั้น.. ความเชื่อมั่นในคำว่า “มีการศึกษา”.., ความนับถือในการเป็น “มหาวิทยาลัย”.., และความมั่นใจในการเป็น “อุดมศึกษา” ว่ามี “สถานะนำ” ในสังคมนั้น ได้ถูกโปรแกรมฝังเป็นความเชื่อเข้าไปในหัวคนไทยตั้งแต่เด็ก ๆ มาอย่างยาวนานนับหลายชั่วอายุคน
จนต่อ ๆ มาก็กลายเป็นความเชื่อแบบตาม ๆ กัน.. เชื่อโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดมาก.. เชื่อโดยไม่ต้องตั้งคำถาม.. เชื่อโดยไม่ต้องสืบสาวหาเหตุผล.. และ เชื่อแบบไม่ต้องเป็นวิทยาศาสตร์.. นานวันเข้าก็จนกลายเป็นแค่ได้ยินได้ฟังเขาว่ากันมาอย่างนี้ ก็เชื่อเลย..
ดังนั้น สำหรับคนเหล่านี้แล้ว.. เพียงแค่ได้ยินเขาบอกต่อ ๆ กันมานานว่า “มหาวิทยาลัย” ต้องมีการศึกษาดีกว่าระดับอื่น ๆ..และต้องเป็นผู้นำทางการศึกษาที่สูงส่งเหนือกว่าระดับอื่น.. ก็จะคิดและเชื่อในทันทีเลยว่าเป็นเช่นนั้นจริง..
คนที่ถูกโปรแกรมด้วยความเชื่อแบบไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เข้าไปฝังไว้ในหัวมาอย่างยาวนานตั้งแต่เล็กจนโตโดยไม่ต้องตั้งคำถาม ไม่เคยมีข้อสงสัย และไม่เคยคิดวิเคราะห์เชิงเหตุผลในความเชื่อนั้น ๆ..เช่นนี้.. ย่อมยากที่จะให้มีการลบความเชื่อที่ถูกโปรแกรมมานานนั้น..ออกไปจากสมองของเขาได้ง่าย ๆ เพียงชั่วข้ามคืน
นั่นคือ.. การที่คนบางกลุ่มที่มีแต่ความเชื่อตามกันมาแบบข้างต้น.. เขาพากันคิดว่า..
“ถ้าขนาดระดับมหาวิทยาลัย หรือระดับอุดมศึกษา เขายังกล้าทำออกมาแบบนี้ได้ ก็แสดงว่าผลงานนี้เป็นสิ่งที่ OK แล้ว ถูกต้อง เหมาะสม ใช้ได้แน่แล้ว และเสมือนเป็นการผ่านการรับรองจากผู้นำทางการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้แล้วว่า..ประชาชนอย่างเราสามารถทำตามอย่างมั่นใจได้”...
จึงไม่ใช่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ หรือ ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับการคิดและการเชื่อข้างต้นในหมู่คนที่ถูกโปรแกรมสมองและถูกปลูกฝังเรื่องความเชื่อมั่นที่มีต่อสถานะการนำทางวิชาการของมหาวิทยาลัยในสังคมไทยมาตลอดชีวิต
และ..จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจและมีความเป็นไปได้สูงมากอีกเช่นกัน..ที่คนกลุ่มนี้ทั้งเด็กเยาวชนอย่างนักเรียนนักศึกษา และผู้ใหญ่อย่างบุคคลากรทุกภาคส่วนของสังคมที่เข้ามาเห็น จะเอาตัวอย่างทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่แสดงผ่านการเขียน การใช้ภาษาในป้ายแบบที่ติดหน้าอาคารโรงยิมส์ใน “ราชภัฏสกลนคร” ไปทำตาม และถูกนำไปใช้อ้างอิงว่าสามารถทำแบบนี้ได้..
ถ้าใครไปท้วง.. ก็อาจจะถูกสวนกลับด้วยการ “อ้างอิง” ว่า..
“ขนาดระดับมหาวิทยาลัยอย่าง “ราชภัฏสกลนคร” เขาก็ยังทำกันแบบนี้”..
และยังอาจมีการตอกกลับคนที่ไปทักท้วง..ด้วยการ “อ้างอิง” เพิ่มเติมต่ออีก..ว่า..
“ถ้าเขียนแบบนี้ไม่ได้ หรือการศึกษาแบบที่เห็นผ่านทางตัวอย่างชิ้นนี้ผิดจริง..ทำไม..ไม่เห็นมีใครบอกกล่าวหรือแก้ไขอะไร ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาเนิ่นนานตั้งหลายเดือน..จนเกินกว่าครึ่งปีเข้าไปแล้ว.. และมีคนผ่านไปผ่านมาทุกวัน ก็ยังถูกปล่อยทิ้งไว้.. แสดงว่าต้องถูกต้องและใช้ได้...
เพราะคนที่ผ่านไปมาทุกวันหน้าโรงยิมส์ที่ติดป้ายแผ่นนี้นานกว่าครึ่งปีนั้น..ระดับไหน..แล้ว..รู้บ้างเปล่า ?..
มีทั้งระดับ..อธิการบดี, รองอธิการบดี, คณบดี,
ผอ. ศูนย์/สำนักต่างๆ, กรรมการสภามหาวิทยาลัย, กรรมการสภาวิชาการของมหาวิทยาลัย, ฯลฯ...
และระดับ.. ‘อาจารย์มหาวิทยาลัย’..ผู้มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาสูง ๆ มีตำแหน่งวิชาการขั้นสูง ๆ และได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้มีการศึกษาสูง’ เยอะแยะมากมายเต็มไปหมดทั้งนั้น.. ก็ยังไม่เห็นมีใครว่าอะไร..ยังติดโชว์ผลงานการศึกษาด้วยการเขียนและการใช้ภาษาแบบนี้อยู่ได้ยาวนานตั้ง 7-8 เดือนเข้าไปแล้ว..
สะท้อนว่าผลงานป้ายชิ้นนี้..เป็นเสมือนการถูกรับรองจากคนเป็นอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้.. รวมทั้ง..จากผู้มีการศึกษาระดับปริญญาโท, ปริญญาเอก, ผศ., รศ., ฯลฯ ของราชภัฏสกลนครแห่งนี้แล้วว่า..เขียนถูกต้อง..เหมาะสม..ใช้งานได้..
ดังนั้น เมื่อผ่านการรับรองโดยปล่อยป้ายนี้ให้ติดโชว์และเผยแพร่ต่อสาธารณะมายาวนานจากระดับ “ผู้บริหาร” และระดับ “อาจารย์มหาวิทยาลัย” ถึงขนาดนี้แล้ว..จะไม่ให้มั่นใจว่า “การศึกษาที่ราชภัฏสกลนคร” แห่งนี้..ถูกต้อง..และ “มีทักษะทางวิชาชีพ” ตามที่โฆษณากันได้อย่างไร”
เฮ้อ..!!..
ผมขออนุญาตพักถอนหายใจด้วยความเหน็ดเหนื่อยในหัวใจเมื่อนึกถึงต่อว่า..
ถ้ามีคนคิดและเชื่อมั่น แล้วเอาความคิด..ความเชื่อมั่นข้างต้นนี้ไป “อ้างอิง” ทำตามกันมาก ๆ ในสังคมแล้ว.. ผมขอให้ทุกท่านมั่นใจได้เลยว่า เมื่อนั้น..คือหายนะของวงการศึกษาไทย..!! ซึ่งจะส่งผลกระทบตามมาเป็นหายนะของลูกหลานไทยที่ต้องได้รับการศึกษาดังกล่าวนั้น..
และที่สุดแล้ว..ถ้าการศึกษาไทยหายนะ.. สังคมไทยมีหรือจะรอดพ้นความหายนะนี้ด้วย...เพราะสองสิ่งนี้มีความเกี่ยวเนื่องเป็นเหตุปัจจัยต่อกัน ย่อมส่งผลกระทบต่อกันตามติดมาเป็นลูกโซ่
ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ได้แต่ถอนหายใจ เพราะผมไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้อีก
สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ในตอนนี้ ก็คือ แสดงความคิดอีกมุมหนึ่ง..ที่เป็นแง่มุมซึ่งแตกต่างออกไปจากแง่มุมความคิดของพวกคนหัวอ่อนที่ถูกโปรแกรมและถูกฝังหัวด้วยความเชื่อแบบไม่เป็นวิทยาศาสตร์ข้างต้นมายาวนานจนยากจะไถ่ถอน.. (ตามตัวอย่างความคิดดังข้างต้น ที่แสดงตัวอักษรไว้ด้วย..“ตัวเอียง”)
เพื่อที่ว่า..แง่มุมความคิดอีกฟากฝั่งที่แตกต่างออกไปจากความคิดตามที่เชื่อถือกันมาแต่เดิม ๆ นั้น..จะก่อให้เกิดการฉุกคิด.. การเริ่มต้นคิดสงสัย.. และรู้จักคิดตั้งคำถาม..ในสิ่งที่เคยคิด..เคยเชื่อดั้งเดิม..
จนที่สุด..อาจนำไปสู่การสร้าง “ชุดความคิดใหม่” ที่จะนำไปใช้พัฒนาและสร้างสรรค์ประโยชน์ให้สังคมได้ดีกว่าเดิม..
และ..จนที่สุด.. ก็นำไปสู่การสร้าง “ชุดความคิดใหม่” อันนี้..ให้บังเกิดขึ้นมาในหัว..ในสมองของคนที่เคยมีแต่ชุดความคิดความเชื่ออยู่แต่ในแง่มุมแบบเดิม ๆ ได้บ้าง
สำหรับ..ความคิดอีกมุมหนึ่งของผมที่แตกต่างออกไปเป็นอีกคนละด้านกับมุมความคิดแบบตัวอย่างที่แสดงด้วยอักษรตัวเอียงข้างต้นนั้น.. ความจริง ไม่ได้เป็นความคิดที่ซับซ้อนอะไรเลยครับ แต่ผมคิดว่าเป็นความคิดขั้นพื้นฐานที่สุด ที่ simple ที่สุด เรียบง่ายที่สุดแล้วครับ..
ผมกลับคิดว่า.. ความคิดโดยการคิดตั้งข้อสงสัยและตั้งคำถาม เป็นธรรมชาติของมนุษยชาติเรา เราแค่เริ่มต้นความคิดในมุมของผม ด้วยการตั้งคำถามและตั้งข้อสงสัยไม่ยากเลย
ในกรณีนี้..และในมุมของผม..ผมกลับมีความคิดว่า
การปล่อยให้มีการศึกษาแบบที่เขียนและใช้ภาษากันแบบในป้ายที่ติดหน้าอาคารโรงยิมส์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร แล้วยังปล่อยติดทิ้งไว้อย่างยาวนานหลายเดือนเกินกว่าครึ่งปีเข้าไปแล้วนี้..เป็นสิ่งผิดปกติอย่างมากสำหรับการมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในสถาบันด้านการจัดการศึกษาที่มีหน้าที่หลักในการสอนและถ่ายทอดความรู้ ศิลปวิทยาการให้คนอื่นในสังคม !
และยิ่งผิดปกติหนักข้อขึ้นเมื่อมาเกิดในสถาบันการศึกษาระดับ “อุดมศึกษา” อย่าง “มหาวิทยาลัยราชภัฏ” ที่ถือเป็นส่วน “ยอด” หรือส่วนปลายของ “พีรามิดการศึกษา” ไม่ได้เกิดขึ้นในสถาบันที่จัดการศึกษาระดับ “ขั้นพื้นฐาน” อย่าง “โรงเรียนอนุบาล, ประถม, และมัธยม” ซึ่งถือเป็นส่วนที่เป็น “ฐาน” ของ “พีรามิดทางการศึกษา”
แปลว่าอะไร ??
(1) แปลว่า.. “ฐาน” ดี..มาเรื่อย ๆ แล้วมาเสียตรง “ยอด”
หรือ..
(2) แปลว่า.. “ฐาน” ก็ไม่ดี..มาเรื่อย ๆ เมื่อเข้ามาอยู่ตรง “ยอด” จึงทำให้เกิดผลเสียขึ้นมา
หรือ..
อาจแปลเป็น..อื่น ๆ ได้อีก.. (ซึ่งผมได้คิดไว้บ้างแล้วครับ)
ซึ่งการแปลความหมายเป็นอื่น ๆ นอกเหนือจากข้อ 1 และ 2 ที่กล่าวมา ผมต้องขออนุญาตยกเอาไปคิดอ่านแลกเปลี่ยนกันในโอกาสหน้าก็แล้วกันนะครับ ตอนนี้ ขอพูดถึงเฉพาะการตีความเป็น 2 ความหมายตามข้างต้นก่อนนะครับ
ถ้าเป็นไปตามข้อ (1).. ก็แปลว่า ฐานพีรามิดการศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน อย่าง “โรงเรียนประถมและมัธยม” สอนมาดี..สอนให้เขียนหนังสือและนำไปใช้งานจริงได้อย่างถูกต้องเหมาะสมแล้ว แต่..ยอดพีรามิดการศึกษาระดับ “อุดมศึกษา” อย่างราชภัฏสกลนครมีการจัดการศึกษาโดยคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้ที่ไม่ได้เรื่องเอง ถึงยังสอนให้คนในสถาบันของตนเองเขียนหนังสือไม่เป็น เขียนผิด ๆ และมั่วอย่างหนัก.. (ถ้าเป็นอย่างนี้ รู้สึกยังไงกับวงการการศึกษาไทยบ้างครับ.. วิเวกวังเวงไหม ครับ..??)
แต่ถ้าเป็นไปตามข้อ (2).. ก็น่าจะตีความได้ว่า การศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับ “โรงเรียนประถมและมัธยม” อาจสอนคนมาไม่ดี..สอนให้เขียนหนังสือและนำไปใช้งานจริงไม่เป็น ทำให้ผลผลิตจากประถมและมัธยมที่มาอยู่ใน “อุดมศึกษา” อย่างราชภัฏสกลนคร กลายเป็นคนมีการศึกษาที่ผิด ๆ ต่อเนื่องมา และจึงนำมาใช้เขียนหนังสือ..ใช้งานจริงในราชภัฏ บริเวณหน้าโรงยิมส์แห่งนี้นั้น..ผิดตามไปด้วย
มาลองวิพากษ์ดูกันทีละข้อครับ
ถ้าเป็นไปตามกรณีของข้อที่ (1) : กรณี “ฐาน” ดี..มาเรื่อย ๆ แล้วมาเสียตรง “ยอด”
จะถือว่าอย่างนี้ น่าอายไหม ?? และอย่างนี้ต้องถือว่าการศึกษาไทยล้มเหลวได้ไหม ?? หรือจะเป็นที่พึ่งให้สังคมไทยได้ไหม ??
มองในระดับจุลภาค.. พ่อแม่ผู้ปกครองจะฝากความหวังไว้กับการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาแบบราชภัฏสกลนครให้กับบุตรหลานของเขาได้ไหม ??
และจะมั่นใจได้อย่างไรว่า..จะไม่สอนลูกหลานเขาที่ก้าวเข้ามาเรียนที่นี่ไปอย่างผิด ๆ แบบที่เขียนโชว์ไว้หน้าโรงยิมส์ตัวเอง !
มองในระดับมหภาค.. ประเทศชาติบ้านเมืองจะฝากความหวังในการพัฒนาประเทศให้กับการศึกษาแบบพิกลพิการและอ่อนแอทางวิชาการในระดับอุดมศึกษาโดยเฉพาะที่ราชภัฏสกลนครแห่งนี้..ได้ไหม ??
ถ้าเป็นไปตามกรณีของข้อที่ (2) : กรณี “ฐาน” ก็ไม่ดี..มาเรื่อย ๆ เมื่อเข้ามาอยู่ตรง “ยอด” จึงทำให้เกิดผลเสียขึ้นมา
สำหรับการจัดการศึกษาในขั้นพื้นฐานระดับอนุบาล ประถม และมัธยม ไม่ขอวิจารณ์ เพราะผมไม่รู้จักและไม่มีความรอบรู้เพียงพอครับ แต่สำหรับระดับอุดมศึกษา อย่าง “ราชภัฏสกลนคร” ผมสามารถวิจารณ์ได้อย่างเต็มที่ในกรณีที่ถ้าเป็นไปตามความหมายแบบข้อ (2) นี้ ว่า..
คุณผู้บริหารราชภัฏสกลนครครับ.. คุณไม่มีทางจะปฏิเสธความรับผิดชอบ หรือปลอบใจตนเองว่า ไม่เกี่ยวกับฉันที่เกิดการเขียนหนังสือผิด ๆ อย่างคนไร้การศึกษาแบบหน้าโรงยิมส์นั้น เพราะเป็นที่ระดับประถมและมัธยมสอนคนให้เขียนมาผิด ๆ ไม่ถูกต้องเอง จึงเป็นสาเหตุที่ระดับประถมและมัธยมมีการจัดการศึกษามาไม่ดีเอง ไม่ใช่อุดมศึกษาอย่างฉัน
คุณผู้บริหารราชภัฏสกลนครครับ.. คุณไม่มีสิทธิจะพูดในลักษณะปัดสวะเช่นนั้น และคุณไม่มีทางจะปฏิเสธความอ่อนแอทางวิชาการและความด้อยคุณภาพทางการจัดการศึกษาของตัวคุณจากผลงานที่คุณผลิตออกมาแบบข้อความที่เขียนผิด ๆ ในป้ายหน้าโรงยิมส์ของราชภัฏคุณ แล้วโยนความผิดไปที่คนอื่น เช่น ประถม หรือ มัธยม ได้เลย
เพราะอะไร ??
เพราะคุณลืมแล้วหรือคุณผู้บริหารราชภัฏสกลนคร..ว่า..คุณมีหน้าที่อะไร ?
คนทั้งสังคมเขารวมกันเสียภาษีเพื่อเป็นเงินมาก่อตั้ง “สถาบันอุดมศึกษา” อย่างของคุณขึ้นมาเพื่ออะไรกันครับ ??
ให้มาทำหน้าที่อยู่เฉย ๆ แล้วคอยกล่าวโทษคนอื่นและโยนความผิดไปให้การศึกษาระดับขั้นพื้นฐานอย่างประถมและมัธยมหรือ ?
ไม่ใช่ตั้งขึ้นมาเพื่อมีหน้าที่..ไว้คอยแก้ไขในสิ่งทึ่ผิดทางการศึกษาให้ถูกต้อง.. ก่อนส่งออกไปสู่การรับใช้สังคมไทย..ดอกหรือ ?
ต่อให้มีการศึกษาที่ผิดหรือคุณภาพไม่ดีมาตั้งแต่ระดับ “การศึกษาขั้นพื้นฐาน” (Basic Education) อย่างประถมและมัธยม ก็ควรเป็นหน้าที่ของ “อุดมศึกษา” (Higher Education) อย่างคุณไม่ใช่หรือครับ..ที่ต้องแสดงฝีมือในการแก้ไขปรับปรุงให้มันถูกต้องดีงามขึ้น..สมบูรณ์ขึ้น และมีคุณภาพสูงขึ้น จึงจะสมกับคำว่า “อุดม” (ซึ่งหมายถึง สูงสุด, ยิ่ง, เลิศ, มากมาย, บริบูรณ์) หรือให้สมกับที่เขาถือกันว่าราชภัฏสกลนครอย่างคุณมีการศึกษาในระดับ “higher” ที่บ่งบอกนัย หรือสื่อความหมายว่ามันควรถูกต้องสมบูรณ์ขึ้นมาอีกจากระดับ “basic”
ไม่ใช่มีแต่ได้ชื่อว่าเป็น “อุดมศึกษา” เพียงแต่ในนามกับเขา แล้วก็ปล่อยให้เกิดสิ่งผิด ๆ ทางการศึกษาออกมาโดยไม่รีบแก้ไขให้ถูกต้องแบบที่คุณกำลังทำให้ดูแถวหน้าโรงยิมส์ในราชภัฏสกลนครของคุณ
การปล่อยการศึกษาที่ผิด ๆ ทิ้งไว้สอนนักศึกษาของตัวเองนานกว่าครึ่งปี (และมีแนวโน้มจะยาวนานไปเรื่อย ๆ เป็นปี ๆ) โดยไม่ทำการแก้ไขให้ถูกต้อง มันจะเป็น “Higher Education” ได้อย่างไร ??
ตราบใดที่ยังบริหารงานแล้วปล่อยให้เกิดผลงานแบบป้ายหน้าโรงยิมส์ทิ้งไว้ยาวนานโดยไม่มีการแก้ไขให้มีการเขียนหนังสือที่ถูกต้องหรือให้มีการศึกษาที่ถูกต้อง ก็อย่ามาเรียกตัวเองหรืออย่ามาเที่ยวบอกคนอื่นว่าที่นี่เป็น “มหาวิทยาลัย” เลยครับ เพราะคำว่า University ต้องสัมพันธ์กับคำว่า Higher Education
เห็นภาพนี้แล้ว.. ขอประทานโทษเถิดครับที่จะต้องขออนุญาตพูดว่า..
“พวกเมิงไม่อายระดับ โรงเรียนอนุบาล เขา..กันบ้างเลยหรือครับ..??”..!!
เหลือเชื่อจริงๆครับ กับ “ราชภัฏสกลนคร” ยุคอธิการบดีและผู้บริหารแบบนี้ !
การเขียนหนังสือผิด ๆ แบบในป้ายหน้าโรงยิมส์ของราชภัฏแห่งนี้..แล้วเพิกเฉยต่อการเอาใจใส่ในการแก้ไขให้ถูกต้อง..เช่นนี้นั้น..
อย่าว่าแต่จะเป็น Higher Education กับเขาเลยครับ แค่จะเป็นสถาบันการศึกษาระดับ Basic Education ก็ยังเป็นไม่ได้เลยครับ !
แล้วถ้าจะพูดกันให้ถึงที่สุดจริง ๆ แล้ว... ในสายตาของผมและประชาคมบางส่วนของจังหวัดนั้น.. ที่นี่..ณ ตอนนี้..ในยุคของอธิการบดีและผู้บริหารชุดนี้ อย่าว่าแต่คนกลุ่มนี้จะมีฝีมือในการทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถาบัน “อุดมศึกษา” หรือกลายเป็น “มหาวิทยาลัย” ที่แท้จริงเลยครับ.. แค่จะทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็น “สถาบันทางการศึกษา” (educational institution) หรือ “องค์กรทางการศึกษา” (educational organization) ก็ยังทำไม่ได้เลยครับ !!
เพราะจากเคสป้ายหน้าโรงยิมส์แค่เคสเดียว ก็สามารถเป็นตัวบ่งชี้ได้เลยว่า.. ที่นี่..มันไม่ใช่ “สถาบันทางการศึกษา” หรอกครับ !
อย่าว่าแต่จะไปเป็นแค่สถาบันการศึกษาระดับโรงเรียนประถมหรือมัธยมเลยครับ.. แค่การจะเป็น “สถาบันทางการศึกษา” หรือ “องค์กรทางการศึกษา” ที่นี่ก็ยังเป็นไม่ได้เลยครับ
เพราะอะไรหรือ ??
เพราะจะมี “สถาบันการศึกษา” จริงแท้ไหนเล่า...
ที่มันจะ “ชั่ว” และ “เลวทราม”…
ขนาดปล่อยให้ลูกศิษย์ที่เข้ามาศึกษาในสถาบันตนเองเสพสิ่งผิด ๆ และเรียนรู้ซึมซับเอาสิ่งที่ไม่ถูกต้องทางการศึกษา (เช่น การเขียนหนังสือผิด ๆ แบบในป้ายฯ) ติดตัวพวกเขาไปอย่างเลือดเย็น...
ปานป้อนผลไม้มีพิษให้ “ลูกศิษย์-นักศึกษา” ของตัวเองกัดกินเข้าไปทุกวันอย่างยาวนานโดยไม่กระตือรือล้นในการแก้ไขให้ถูกต้องอย่างเร่งรีบ !!
มีสถาบันที่ได้ชื่อว่าเป็น “สถาบันทางการศึกษา” ที่แท้จริงแห่งไหนบ้างครับ ที่เขาจะยัดเยียดสิ่งผิด ๆให้ “ลูกศิษย์ของตน” โดยไม่ยอมแก้ไขให้มีแต่สิ่งดี ๆ และถูกต้องได้ถ่ายทอดไปตกสู่สายตา, สู่สมอง, สู่จิตใจ, สู่การรับรู้ และสู่การเรียนรู้ของลูกศิษย์ตัวเอง !!
ถ้าเป็น “สถาบันทางการศึกษา” จริง.. ไม่มีทางหรอกครับที่เขาจะปล่อยทิ้งสิ่งผิด ๆ ทางการศึกษาไว้ในสถาบันของตนให้ลูกศิษย์ตัวเองเห็นดังภาพอย่างยาวนานโดยไม่รีบแก้ไขให้ถูกต้อง..
คุณคิดว่า.. จุฬาฯ, ธรรมศาสตร์, มหิดล, เกษตรฯ, เชียงใหม่, ขอนแก่น, มศว., ฯลฯ.. เป็น “สถาบันทางการศึกษา” ไหม ?
แล้วให้คุณลองนึกภาพว่า..ในจุฬาฯ, ธรรมศาสตร์, มหิดล, เกษตรฯ, เชียงใหม่, ขอนแก่น, มศว., ฯลฯ.. เขาจะปล่อยให้มีการเขียนหนังสือผิด ๆ เสมือนมีการศึกษาที่ผิด ๆ ติดเผยแพร่ตามอาคารในมหาวิทยาลัยของตนเพื่อถ่ายทอดการศึกษาที่ผิด ๆ นั้นให้แก่ลูกศิษย์หรือนักศึกษาของตัวเองเป็นเวลายาวนานโดยไม่รีบแก้ไขให้ถูกต้องแบบที่ทำกันใน “ราชภัฏสกลนคร” แห่งนี้ไหม ???..!!!
ให้รอยหยักในสมองของพวกคนที่ได้ชื่อว่าเป็น “อธิการบดี” และ “คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ยุคนี้..(ถ้ายังพอมีหลงเหลือ)..ได้ทำงานบ้าง..เพื่อจะได้คิดใช้ดุลยพินิจ ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ และจินตนาการ นึกภาพกันเอาเองต่อไปว่า..
นอกจาก ในมหาวิทยาลัยอย่าง จุฬาฯ, ธรรมศาสตร์, มหิดล, เกษตรฯ, เชียงใหม่, ขอนแก่น, มศว., ฯลฯ.. แล้ว..
ใน “ราชภัฏ” ด้วยกันเอง เช่น อุดรฯ, มหาสารคาม, อุบลฯ, สุรินทร์, เชียงใหม่, เชียงราย, สวนดุสิต, สงขลา, จันทรเกษม, รำไพพรรณี, ฯลฯ
และ..ใน Harvard, MIT, Stanford, Yale, Cornell, UCLA, University of Tokyo, Kyoto University, University of Hong Kong, National University of Singapore (NUS), Seoul National University, Peking University, Cambridge, Oxford, ฯลฯ..นั้น
จะมีกรณีของการให้การศึกษาผิด ๆ เขียนหนังสือผิด ๆ แล้วยังปล่อยติดทิ้งไว้ใน “Campus” ของตัวเองให้ “ผู้เรียน” ของตน มองเห็นและเสพสิ่งผิด ๆ ทางการศึกษานั้นต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่สะทกสะท้านในจิตสำนึกของความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอะไรทางการศึกษาแบบใน “ราชภัฏสกลนคร” ของพวกคุณไหม ?
ซ้ายบน : Massachusetts Institute of Technology ขวาบน : University of Tokyo
ซ้ายล่าง : National University of Singapore ขวาล่าง : Stanford University
คุณคิดว่า..จะเห็นภาพของการมีป้ายประชาสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยการมีการศึกษาผิด ๆ แบบป้ายหน้าโรงยิมส์ของราชภัฏคุณ ถูกติดทิ้งไว้อวดชาวบ้านยาวนานอยู่ภายใน “Campus” ของมหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งระดับชาติและระดับโลกเหล่านี้ไหม ??
ซ้ายบน : Seoul National University ขวาบน : Cambridge University
ซ้ายล่าง : Yale University ขวาล่าง : University of Hong Kong
ทั้งตัวคนเป็น..อธิการบดี,
ทั้งตัวคนเป็น..คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย,
และ..ทั้งตัวคนเป็น..คณะกรรมการสภามหาวิทยาลัย..
ของ “ราชภัฏสกลนคร” ยุคนี้…
ต่างใช้เงินมหาวิทยาลัยอย่างมากมายมหาศาลในการไปดูงานการศึกษายังต่างประเทศมาทุกปี.. และปีละไม่ใช่บาทสองบาท..
อยากถามว่า..
เคยเห็นที่ไหนที่เขากล้าปล่อยผลงานทางการศึกษาที่ผิด ๆ ติดไว้สอน ไว้ถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ตัวเองดูใน “Campus” ของเขาอย่างยาวนานกว่า 6-7 เดือนเข้าไปแล้วแบบของ “ราชภัฏสกลนคร” แห่งนี้บ้างครับ ??
(ไม่รู้ไปดูงานต่างประเทศประสาอะไร ? – โคตรจะ “คุ้มค่า” ในการใช้เงินของส่วนรวมจำนวนมหาศาลให้คนกลุ่มนี้ไป “เที่ยว”..เอ๊ย..ไป “ดูงาน” ถึงเมืองนอกเมืองนาทุกปีจริง ๆ..!!..??)
ความจริง.. ไม่ต้องไปไกลถึงสถาบันการศึกษาที่แท้จริงระดับชาติและระดับโลกข้างต้นหรอกครับ
เอาแค่ไปตาม “โรงเรียนประถม” ในจังหวัดสกลนครของตัวเองแค่นี้ ก็จะเห็นการติดป้ายคำต่าง ๆ ตามต้นไม้ เพื่อจุดประสงค์ให้เด็ก ๆ นักเรียนได้เห็น ได้เรียนรู้ ได้อ่านได้เขียนหนังสือที่ถูกต้อง เหมือนเป็นการสอนนักเรียนนอกห้องเรียน เสริมต่อจากเฉพาะที่สอนที่เรียนกันภายในห้องเรียนตามปกติ
แล้วถ้าโรงเรียนประถมเหล่านี้ติดป้ายคำเขียนหรือคำอ่านตามต้นไม้แล้วก็ไม่รับผิดชอบในการดูแลว่าสิ่งที่เขียนนั้นถูกหรือไม่ และถ้าเห็นว่ามีความผิดพลาดไม่ถูกต้องในการเผยแพร่คำในป้ายที่ติดไป.. แต่ก็ยังปล่อยทิ้งไว้ ไม่มีจิตสำนึกที่จะแก้ไขให้ถูกต้องแล้วติดใหม่เช่นที่พวกราชภัฏสกลนครทำอยู่ในทุกวันนี้นั้น.. จะเกิดผลอะไรกับการเรียนรู้ของเด็กไทยและคุณภาพการศึกษาไทยบ้าง..??.. หัดคิดเองซะบ้าง..โตเป็นฟายขนาดนี้กันแล้ว..!!
แต่นี่ เท่าที่ดูมาตามภาพ โรงเรียนประถมในจังหวัดสกลนครของเรา ยังติดป้ายคำต่าง ๆ ได้ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ได้ดีกว่า ทั้งยังจะทำให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาที่ดีและไม่ผิด ๆ ติดตัวไปภายภาคหน้าได้ดีกว่าของราชภัฏสกลนครแบบที่หน้าโรงยิมส์ตัวเองเสียอีก
เมื่อเห็นภาพผลงานการกระทำของสถานศึกษาระดับ “ประถม”
กับระดับ “มหาวิทยาลัย” ในยุคสมัย ณ ปี พ.ศ. 2555 เปรียบเทียบกันแล้ว
จึงอดไม่ได้ที่จะต้องมีคำถามไปถึงผู้บริหาร “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” เจ้าของผลงานนี้ และขออนุญาตถามออกมาดัง ๆ ให้สังคมได้ยินกันถ้วนทั่ว..ว่า..
“ขอโทษ...เมิงไม่อายครูโรงเรียนประถมเขาในเรื่องแบบนี้กันบ้างหรือครับ..!!..??”
และไม่อายคนเป็น ผอ., หรือผู้บริหารโรงเรียนประถมเขาบ้างหรือ ??..!!!
ไม่อายในจิตสำนึกและความรับผิดชอบทางการศึกษาที่เขามีกับ “ลูกศิษย์” ของตัวเองมากกว่าพวกที่ถือตัวเองว่าเป็นครูบาอาจารย์และเป็นผู้บริหารระดับมหาวิทยาลัยกันบ้างเลยหรือ ??
เมื่อมองในแง่นี้.. “จิตใจครูมหาวิทยาลัย” ที่ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบทางการศึกษาโดยยังปล่อยทิ้งสิ่งผิด ๆ ทางการศึกษาไว้ในสถานศึกษาให้ “ลูกศิษย์” ดู และไม่เคยห่วงใยสนใจว่าลูกศิษย์ของตนจะได้รับสิ่งผิด ๆ ทางการศึกษาติดตัวไปหรือไม่นั้น.. จึงนับว่ายัง “ต่ำ” กว่า..“จิตใจครูประถม” ที่เขามีความรับผิดชอบต่อการปกป้องเด็กนักเรียนของเขาไม่ให้ได้เห็นและเรียนรู้ซึมซับเอาสิ่งผิด ๆ ทางการศึกษาติดตัวไป...มากนัก
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว.. สถาบันที่ยังปล่อยให้มีสิ่งผิด ๆ ทางการศึกษาเกิดขึ้นกับ “ลูกศิษย์” ของตนโดยไม่มีความรับผิดชอบในการแก้ไขให้ถูกต้องดีขึ้น..งามขึ้น..อย่างที่เกิดขึ้นในสถาบันที่มีชื่อว่า “ราชภัฏสกลนคร” ภายใต้ยุคการบริหารงานของ อธิการบดีคนนี้ และพวกบริวารคณะนี้ในปัจจุบัน..นั้น..จะเรียกตัวเองว่าเป็นสถาบันอะไร..ก็เรียกไปเถิดครับ
แต่อย่าเสนอหน้ามาเรียกตัวเองว่าเป็น “สถาบันการศึกษา” กับเขาเลยครับ.. เพราะมันไม่ใช่..!!!
ยังไงก็ไม่มีทางใช่หรอกครับที่คำว่า “สถาบันการศึกษา” จะมีความหมายว่า..คือสถาบันที่สามารถทำสิ่งผิด ๆ ทางการศึกษาให้เป็นแบบอย่างแก่ลูกศิษย์ของตนเองได้..!!
(เช่น การเขียนหนังสือผิด ๆ แล้วปล่อยทิ้งไว้เผยแพร่ให้ลูกศิษย์ตัวเองดูทุกวันเป็นเวลายาวนานเกินครึ่งปี โดยไม่มีความรับผิดชอบที่จะแก้ไขให้ถูกต้อง)
และนี่จึงเป็นอีกกรณีตัวอย่างหนึ่งครับ ที่วิธีการประเมินของ “คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ไม่สามารถประเมินตัวคนเป็นอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครในเรื่องแบบนี้ได้ !!
กรณีที่เรามี..อธิการบดี..และ..คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยอย่างชุดปัจจุบัน..ที่กำลังทำให้สถานที่ที่เรียกชื่อตัวเองว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ได้ไร้ความเป็น “สถาบันทางการศึกษา” (educational institution) ไปเรื่อย ๆ แบบที่ชี้ให้เห็นมาข้างต้นนั้น..เครื่องมือในการประเมินฯอย่าง “แบบสอบถาม” ของ “คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” จะประเมินตัวคนเป็นอธิการบดีและผู้บริหารมหาวิทยาลัยแห่งนี้..อย่างไร ??..,
และจะประเมิน “งานวิชาการ” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร..
รวมทั้ง “คนรับผิดชอบ” งานวิชาการของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้ในทุกระดับชั้น..อย่างไร ??
หรือในกรณีที่ถ้า “อธิการบดี” ปฏิเสธความรับผิดชอบในเรื่องทำนองนี้ว่าไม่เกี่ยวกับตนเองแล้ว.. เราจะประเมินเรื่อง “ภาวะผู้นำ” (Leadership) ของคนเป็น “อธิการบดี” ในฐานะผู้รับผิดชอบสูงสุดในกระบวนการจัดการศึกษาขององค์กรมหาวิทยาลัยแห่งนี้..อย่างไร ??
เพราะ “แบบสอบถาม” ของคณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบฯ เท่าที่เห็นอยู่นั้น..ไม่ครอบคลุมไปถึงเรื่องราวดังกรณีที่กล่าวมาข้างต้นนี้เลยครับ
(กลับไปมีเรื่อง “คุณธรรม จริยธรรม น่าเคารพยกย่อง” ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่อง “ภาวะผู้นำ” ในด้านการบริหารจัดการองค์กรตามมาตรฐานสากลที่นานาชาติเขาใช้กันแบบไหน ?? - อ่านลิสต์ 1.1 – 1.7 ในหัวข้อแรกนี้แล้ว..จะเป็นลม.. ทั้งรู้สึกปวดหัวใจและเศร้าใจกับ “อุดมศึกษาไทยบางแห่ง” อย่างบอกไม่ถูกจริง ๆ ครับ !!.. ไม่รู้เขา “คิด” ออกมาแนวนี้กันได้อย่างไร ??.. ยกเว้นแค่บางลิสต์เท่านั้นที่พอจะนับว่าใกล้เคียงกับเรื่อง “ภาวะผู้นำ” ที่แท้จริงกับเขาบ้าง)
ดังนั้น.. จึงควรคิดเรื่องนี้กันเพิ่มเติม.. ด้วยคำถามนี้ว่า..
วิธีการประเมินคนเป็นอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครโดยวิธีการตามรูปแบบและเนื้อหาเฉพาะเท่าที่ใช้กันอยู่ของ “คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงานของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” นี้..เพียงพอหรือไม่ครับ..ที่จะใช้วัดผลการปฏิบัติงานของอธิการบดีและผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้อย่างถูกต้องครบถ้วน, ครอบคลุม สมบูรณ์, และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสร้างสรรค์มหาวิทยาลัยเพื่อสังคมไทยและคนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ??
และคำถามนี้ว่า...
การใช้เฉพาะแต่ “แบบสอบถามฯ” หนาเป็นปึก ๆ แล้วให้คนมานั่งขีด ๆ ส่ง ๆ ไป จากนั้น เอาไอ้ที่ขีด ๆ นั้นมาแปลความหมาย แล้วกลายเป็นข้อสรุปของ “ผลการปฏิบัติงาน” ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยโดยเป็นที่สิ้นสุดจบการประเมินฯที่มีที่มาจากการขีด ๆ ตามช่องต่าง ๆ ในแบบสอบถามนั้น..
ยังถือเป็น “เครื่องมือ” หลักแต่เพียงอย่างเดียวที่ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณภาพดีพอต่อการประเมินฯที่จะนำผลไปใช้พัฒนามหาวิทยาลัยได้อย่างแท้จริงอยู่หรือไม่ ??
ถ้าปรารถนาให้ “ราชภัฏสกลนคร” ณ แยกบ้านธาตุ แห่งนี้ มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ถูกต้องดีงาม และเติบโตก้าวหน้าไปในทางสร้างสรรค์เพื่อยังประโยชน์ให้บังเกิดกับผู้คนส่วนใหญ่ได้อย่างแท้จริง..,
ถ้ามุ่งหวังให้ “ราชภัฏสกลนคร” มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในสังคมไทยได้อย่างสนิทใจแท้จริง..
(ไม่ใช่ถูกยอมรับด้วยการเสแสร้งแกล้งทำ..ตามมารยาททางสังคม และการลวงหลอกว่าชื่นชมยอมรับอย่างไม่จริงใจจากคนภายนอก)..,
ถ้าใฝ่ฝันให้ความเป็น “ราชภัฏสกลนคร” มีเกียรติภูมิ มีชื่อเสียงลือเลื่อง และขจรขจายไปอย่างมั่นคง ยาวนาน และยั่งยืนสืบไปด้วย “คุณภาพ” จริง ๆ..
(ไม่ใช่นึกคิดและทึกทักกันเอาเองว่าเรามีชื่อเสียงแล้ว,ได้รางวัลโน่นนี่แล้ว, ชนะการประกวดฉาบฉวยต่าง ๆ แล้ว.. หรือเอาแต่ประดิษฐ์วาทกรรมมายกยอปอปั้นพวกเดียวกันเอง เช่น “ราชภัฏฯเรา..ไม่เป็นที่สองรองใคร”..จนชาวบ้านทั่วไปเขานินทาลับหลังว่า เอาแต่..คิดเอง พูดเอง เออเอง เข้าข้างตัวเอง และหลงตัวเองอยู่ฝ่ายเดียว)..,
และ..ถ้ารักในคำว่า “ราชภัฏ” จริง..
จะต้องร่วมกันคิดตอบคำถามข้างต้นอย่างจริงจัง และหันกลับไปทบทวนวิธีการตรวจสอบ ประเมินผลฯผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแบบเดิม ๆ แล้วหาแนวทางเพิ่มเติมเชิงคุณภาพและเชิงสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ในการประเมินฯ..ที่สามารถุป้องกันไม่ให้มีผลงานจริงต่าง ๆ เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยแบบของอธิการบดีและผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครชุดปัจจุบันนี้ได้กระทำไว้..
มีแต่ต้องขจัดต้นตอที่เป็นสาเหตุหลักแห่งปัญหา คือการมีอธิการบดีและผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้เรื่อง คุณภาพต่ำ และล้าหลังทางความคิดสติปัญญาในการนำองค์กรเท่านั้น.. ความปรารถนา, ความมุ่งหวัง, ความใฝ่ฝัน, และ ความรักที่มีต่อ “ราชภัฏ” ดังกล่าวข้างต้นจึงจะบรรลุผลได้อย่างแท้จริง..
ไม่มีทางอื่นครับ..!! l