ความคิดของผม..มักจะเกิดขึ้นเสมอเวลาผ่านโรงเรียนที่ตั้งชื่อว่า “โรงเรียนวิถีธรรม” ในมหาวิทยาลัยราชภัฏ ณ แยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร แห่งนี้…
เป็นความคิดเชิงตั้งคำถามด้วยความสงสัยหลายอย่างว่า..
“วิถีธรรม” เป็นวิถีที่แยกจากวิถีธรรมชาติ.., แยกจากวิถีสิ่งแวดล้อม.., แยกจากวิถีชุมชน..และแยกจากวิถีแห่งสังคมส่วนรวม..รอบตัวเอง...
ได้หรือ ??
ถ้าแยกไม่ได้ตามความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ธรรม”
ก็แสดงว่า.. เราได้ “ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฎ ณ แยกบ้านธาตุ จังหวัดสกลนคร” และ “คนทำโรงเรียนวิถีธรรม” แห่งนี้ที่ “ไม่มีความรู้” ในเรื่องนี้เอาเสียเลยแล้วล่ะครับ !
เพราะดูได้จากการกระทำอันปรากฎออกมาเป็นผลงานต่าง ๆ ของโรงเรียนนี้ที่ไม่ได้มุ่งไปที่วิถีแห่งความสัมพันธ์โดยใกล้ชิดกับผู้คนส่วนใหญ่ในชุมชนแวดล้อมรอบข้าง และไม่ได้แสดงถึงการมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมที่อยู่รอบ ๆ โรงเรียนของตนแต่อย่างใดเลย
แต่ดูแล้วกลับกลายเป็นการสร้างวิถีแห่งความโดดเดี่ยวอันเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็นอาณาจักรส่วนตัวและทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนเหนือคนอื่นรอบข้างซะมากกว่า
อย่างอยู่ดี ๆ ก็มาติดตั้ง “ยางชะลอความเร็วรถ” บนถนนสาธารณะของคนส่วนใหญ่ที่อยู่แวดล้อมโรงเรียนนี้..และมีความเป็นเจ้าของถนนเส้นนี้เช่นกัน..
(หรือเขาแอบไปยกถนนเส้นนี้ให้เป็น “ถนนส่วนบุคคล” ของโรงเรียนวิถีธรรมแห่งนี้ไปแล้วตั้งแต่เมื่อไรกัน ??)
และถ้าเทียบกันในเชิงจำนวนคนแล้ว เจ้าของถนนเส้นนี้ที่ไม่ใช่คนของโรงเรียนวิถีธรรมมีมากกว่าหลายสิบเท่าแน่นอน !
ผมจึงสงสัยในเรื่องนี้เสมอเวลาที่เดินทางผ่านโรงเรียนเด็กเล็กแห่งนี้ว่า..
ทั้งพวกคนที่ลงมือทำ และผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครที่อนุมัติให้ทำขึ้นมาได้นี้.. มันเอาอะไรในร่างกายคิดกัน..??
“สมอง” หรือ “ส้นเท้า” ??
ถึงได้คิดทำสิ่งนี้ขึ้นมาได้..!!
และยังทำให้คนทั่วไปรู้สึกได้ว่า..
เป็นการกระทำชนิดที่นึกอยากจะทำก็ทำ..!!
เสมือนถนนสายนี้เป็นถนนส่วนตัวเฉพาะของตระกูลพวกคนที่ลงมือทำ และคนที่อนุมัติให้ทำ..
และเหมือนมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้เป็นสมบัติเฉพาะการครอบครองของคนพวกนี้เท่านั้น..ที่ทุกตารางนิ้วของที่นี่จะนึกอยากทำอะไรก็ได้โดยไม่สนว่าส่วนรวมจะเสียหาย และคนส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบหรือเดือดร้อนลำบากอย่างไร..!!
กล่าวได้อย่างเต็มที่เลยว่า.. ยางชะลอความเร็วรถ 2 เส้นบนถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรมนี้..ไม่มีประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่เลย มีแต่สร้างความเดือดร้อนลำบากและรำคาญใจในการขับรถสัญจรผ่านไปมาให้กับคนทั้งหมด
ทั้งยังกล้ากล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกว่า.. ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงต่อจุดประสงค์ในการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนให้กับเด็กนักเรียนในบริเวณพื้นที่ถนนหน้าโรงเรียนนี้..!!
เพราะในสภาพความเป็นจริงของการใช้รถใช้ถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรมที่เป็นมากว่า 30 ปี.. ปัจจัยหลักของการป้องกันอุบัติเหตุจากการใช้รถบริเวณนี้ ไม่ได้อยู่ที่เรื่องยางชะลอความเร็วรถอะไรนี้เลย.. ไม่เกี่ยวกันเลย.. เพราะพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของผู้คนเฉพาะพื้นที่ถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรมที่เป็นมากว่า 30 ปีนั้น.. ยางชะลอความเร็วรถไม่เคยเป็นปัจจัยที่มีผลต่อเรื่องการลดการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนบริเวณนี้แต่อย่างใดเลย..!
อยู่ที่ว่าพวกเมิงจะศึกษาและทำการบ้านกันบ้างหรือเปล่าเท่านั้น..!!
ไม่รู้ก่อนทำ..ทั้ง “พวกคนทำ” และ “พวกคนอนุมัติให้ทำ”..(ที่..แมร่ง..ก็อยู่ที่นี่และเห็นสถานที่บริเวณนั้นกันมานาน..เกิน 30 ปีกันทั้งนั้น)..ได้ study และ research สภาพการณ์, ปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ, และพฤติกรรมการใช้ชีวิตผ่านไปมาของผู้คนส่วนใหญ่บริเวณนั้นจนมีข้อมูลมากพอที่จะทำให้สามารถรู้จัก, เข้าใจ, และกุมสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละวันบริเวณนั้นได้ทั้งหมด..
หรือเปล่า..??..,
ได้ทำ..ให้สมกับที่ชอบโอ้อวดกันว่าตนเองอยู่ในสังคม “ปัญญาชน”, เป็นสังคมระดับ “อุดมศึกษา”, เป็นชนชั้นชาว “มหาวิทยาลัย” ที่ชอบโฆษณาตัวเองกันว่า..งาน “วิจัย” คือหัวใจหลักและซึมซาบอยู่ในทุกอณูของเส้นเลือดพวกตัวเอง, ทั้งยังชอบเอ่ยอ้างวาทะกรรมคำว่า..“เป็นคนมีการศึกษา”..ไว้คอยคุยข่มทับชาวบ้านในชุมชน.. บ้างหรือเปล่า..??..,
ได้ทำ..ให้สมกับที่พวกตนชอบคุยกันนักคุยกันหนาว่า เป็นพวกที่ทำงานเป็น, ทำงานเก่งกว่าใครในมหาวิทยาลัยนี้.. และยังชอบคุยว่าทำงานอะไรก็สำเร็จ เพราะมีพวกมาก มีคนคอยให้ความร่วมมือช่วยเหลือมากมายชนิดไม่มีใครสู้ได้..
หรือเปล่า..??..,
และที่สุดแล้ว.. ได้ทำ feasibility study และ research จนได้ information มากพอที่จะนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจโดยการวิเคราะห์และประเมินข้อดี-ข้อเสียของปัจจัยทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับทางเลือกทุกทางที่มี ก่อนจะออกมาเป็นการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการเลือกทางเลือกที่ “เหมาะสมที่สุด”...หรือเปล่า..???..!!
ผมคิดว่า..กลุ่มคนในเครือข่ายระบบอุปถัมภ์ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครพวกนี้..ไม่ได้ทำเลย..ไม่ว่าจะเป็นการ study เบื้องต้น หรือ research เพื่อหาคำตอบอย่างเป็นระบบและเอาจริงเอาจังให้กับปัญหาการป้องกันเด็กเล็กจากอุบัติภัยบนถนนหน้าโรงเรียน..ควบคู่ไปกับการระวังป้องกันผลกระทบเชิงลบที่จะเกิดกับส่วนรวม คือผลกระทบที่ไปทำลายวิถีชีวิตในการเดินทางสัญจรอย่างเป็นปกติสุขที่มีมาแต่ดั้งเดิมของผู้คนส่วนใหญ่ละแวกนั้น
เพราะคนพวกนี้นึกอยากทำอะไร ก็ทำเลย..ตามนิสัยสันดานดั้งเดิมที่ติดตัวมาแต่ไหนแต่ไร..!!
ไม่มีหรอกครับสำหรับกลุ่มพวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้ที่จะใช้สมอง ใช้สติปัญญาคิดอ่านและวางแผนอย่างแยบคายในเรื่องราวที่จะทำ..ให้ลึกซึ้งรอบด้านก่อนลงมือทำ หรือก่อนตัดสินใจในเรื่องสำคัญใด ๆ ที่จะส่งผลให้เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อมหาวิทยาลัยในระยะยาว
ผมจึงกล้าสรุปอย่างมั่นใจ..(ด้วยรู้สันดานและฝีมือการทำงานของผู้บริหารมหาวิทยาลัยคนนี้และลิ่วล้อในสังกัดกลุ่มนี้ดี)..ว่า..
ก่อนการลงมือติดตั้ง “ยางชะลอความเร็วรถ” เพื่อแก้ปัญหาการป้องกันอุบัติภัยให้กับเด็กนักเรียนบนถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรมแห่งนี้นั้น.. ไม่เคยมีการศึกษาความเป็นไปได้ (feasibility study) หรือการทำ research ใด ๆ เพื่อหา “ทางเลือก” ที่หลากหลายและเหมาะสม..ทั้งเกิดผลดีและเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายมากที่สุด..จากผู้ปฏิบัติงานที่เป็น “คนลงมือทำ” และ จากผู้สนับสนุนที่เป็น “ผู้บริหารมหาวิทยาลัย” กลุ่มนี้..อย่างแน่นอน..!
คนพวกนี้ถึงไม่รู้เรื่องว่า..ยางชะลอความเร็วรถ 2 เส้นที่ทำขึ้นมาในลักษณะที่เห็นและถูกนำมาใช้ในท่ามกลางพฤติกรรมการสัญจรของผู้คนตามสภาพแวดล้อมจริง ๆ อย่างที่เป็นอยู่มาแต่เดิมนี้ ไม่มีผลในการ protect..ป้องกันเด็ก ๆ และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความปลอดภัยของเด็กนักเรียนโรงเรียนวิถีธรรมอย่างมีนัยสำคัญใด ๆ เลย
ยิ่งเมื่อต้องเทียบกับการทำหน้าที่ของยางชะลอความเร็วรถ 2 เส้นนี้ในสัปดาห์หนึ่งแค่วันจันทร์-ศุกร์ วันละประมาณ 2 ชั่วโมง..(เช้า มาส่งเด็ก ๆ 1 ชั่วโมง, และเย็น มารับเด็ก ๆ อีกประมาณ 1 ชั่วโมง)..ยิ่งสะท้อนถึงการทำอะไรโดย “ไม่รู้จักคิด” ให้รอบคอบและรอบด้านของคนทำและคนอนุมัติให้ทำกลุ่มนี้ชัดเจนมากขึ้น.. (ต่างกับโรงเรียนระดับ..เนอสเซอรี่, อนุบาล, ประถม..อื่นๆ..ที่อยู่ติดกับถนนสายหลักในเทศบาลเมืองสกลนครทั้งโรงเรียนของรัฐบาลและเอกชน..ก็ยังไม่เห็นมีโรงเรียนไหนไปติดตั้งยางชะลอความเร็วรถบนถนนที่ผ่านหน้าโรงเรียนตัวเองในลักษณะเหมือนกับของโรงเรียนวิถีธรรมแห่งราชภัฏสกลนครเลย)
วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง.. สร้างขึ้นมาเพื่อ Serve ตัวเองอย่างเห็นแก่ตัวแค่ 2 ชั่วโมง.. ที่เหลืออีก 22 ชั่วโมงนอกจากจะไม่ได้ทำหน้าที่ Serve คนอื่นในชุมชนรอบข้างให้คุ้มค่าที่เขาก็เป็นเจ้าของถนนส่วนรวมนี้เช่นกันแล้ว.. กลับทำให้ 22 ชั่วโมงนี้มีแต่ความทุกข์ยากลำบากความเดือดร้อนของคนส่วนใหญ่..ที่ต้องทนเดินทางฝ่าข้ามยาง 2 เส้นนี้อย่างทุลักทุเลตลอดวันตลอดคืน
โค-ตะ-ระ (โคตร) จะ “คุ้มค่า” ในการ “ลงทุน” ทำยางฯ 2 เส้นนี้ขึ้นมาเลย..!!.. ไอ้ “ฟาย”.. เอ๊ย..!!
ไหนยังจะเสาร์-อาทิตย์ ที่ยางชะลอความเร็วรถ 2 เส้นนี้หยุดราชการกับโรงเรียนวิถีธรรมเขาด้วย ไม่ได้ทำหน้าที่ในช่วงการรับ-ส่งเด็ก ๆ ให้โรงเรียนแห่งนี้ แต่สำหรับหน้าที่ที่ทำให้คนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจในการเดินทางสัญจรมันไม่เคยหยุด ยังปฏิบัติหน้าที่เลว ๆ ตามวิถี “อธรรม” ที่เป็นการเบียดเบียนคนขับรถผ่านหน้าโรงเรียนนี้อย่างเต็มที่สม่าเสมอตลอด 24 ชั่วโมง..!!
แล้วยังจะในช่วงปิดเทอมของโรงเรียนนี้อีกประมาณ 3 เดือนเศษ ที่ไอ้ยางชะลอความเร็วรถ 2 เส้นนี้ไม่ได้ถูกใช้ประโยชน์ตามจุดมุ่งหมายในการติดตั้งเลย แต่มันก็ยังคงถูกทิ้งบนถนนอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ถูกขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายไปไหนตลอดช่วงการปิดภาคเรียน ทำให้การทำร้ายทำลายความสะดวกในการเดินทางที่มีมาแต่เดิมของคนในราชภัฏแห่งนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปตลอดอย่างไม่หยุดยั้งแม้จะอยู่ในช่วงปิดเทอม เพราะการเดินทางสัญจรในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนที่อยู่ในนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ปิดเทอมตามโรงเรียนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจและน่ารังเกียจสุด ๆ แห่งนี้ไปด้วย
สรุปว่า.. “ยางชะลอความเร็วรถ” 2 เส้นนี้.. ถูกสร้างขึ้นมา..เพื่อ...
1. เพื่อรับใช้.. “คนส่วนน้อย” มากกว่า “คนส่วนใหญ่”
(และเป็นคนส่วนน้อย ที่มีจำนวนน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบสัดส่วนกับจำนวนคนส่วนใหญ่ในราชภัฏสกลนครแห่งนี้ - ดูข้อมูลระเบียบการรับสมัครนักเรียนโรงเรียนนี้ประกอบครับ)
ที่มา : www.snru.ac.th/UserFiles/File/news/53_12(7)panpub.pdf
2. เพื่อ.. “ไร้ประโยชน์” มากกว่า “ได้ประโยชน์” สำหรับส่วนรวมและคนหมู่มาก..กว่า 99 เปอร์เซ็นต์
3. เพื่อ.. 12 เดือน ใน 1 ปี ได้ใช้งานแค่ประมาณ 9 เดือน (หยุดปิดเทอมประมาณ 3 เดือน)
4. เพื่อ.. 7 วัน ใน 1 สัปดาห์ ได้ใช้งานแค่ 5 วัน (จันทร์-ศุกร์)
5. เพื่อ.. 24 ชั่วโมง ใน 1 วัน ได้ใช้งานแค่วันละ 2 ชั่วโมง
6. เพื่อทุกเวลา ทุกชั่วโมง ทุกนาที ทุก ๆ วัน ตลอด 365 วัน ใน 1 ปี ยางชะลอความเร็วรถ 2 เส้นนี้..จะไม่ได้ว่างเว้นในการเบียดเบียนผู้อื่นจำนวนมหาศาลที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวและมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงเรียนนี้ด้วย
7. เพื่อก่อความทุกข์ยากเดือดร้อนให้คนส่วนใหญ่และสังคมส่วนรวมของชาวราชภัฏสกลนครอย่าง “ยาวนาน” อยู่แบบนั้นอีก 2 ปี, 3 ปี, 4 ปี,... และ 5 ปี..ถึง 10 ปี,...ต่อไปเรื่อย ๆ
8. เพื่อ “ความไม่เป็นธรรม” ในสังคม มากกว่า “ความเป็นธรรม” และเพื่อ “วิถีอธรรม” มากกว่า “วิถีธรรม”
และยิ่งเมื่อไปเห็นข้อความการโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับการทำโรงเรียนวิถีธรรม..ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครคนนี้แล้ว..ก็ให้รู้สึกคลื่นไส้จนอยากจะอ๊วก..!!
นี่ครับ.. “การโฆษณาชวนเชื่อ” ที่ว่า..
“แนวคิดในการบ่มเพาะเยาวชนลูกหลาน ของโรงเรียนวิถีธรรมเป็นไปในแนวทางของ ๓ ธรรม กล่าวคือ
ธรรมที่ ๑ คือ “ธรรมะ” หมายถึงพระธรรมคำสอนของพระศาสดา ของศาสนาต่างๆ ซึ่งทุกพระองค์ล้วนแต่สอนให้ทุกคนเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีงาม
ธรรมที่ ๒ คือ “ธรรมชาติ” โดยมีแนวคิดที่จะปลูกฝังให้เด็กๆ รัก ธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติได้อย่างมีดุลยภาพ และมีความรักในทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
ธรรมที่ ๓ คือ “ธรรมดา” โดยมีแนวคิดที่จะปลูกฝังให้เด็กๆ เติบโตขึ้นอย่างคนธรรมดา ได้รับการพัฒนาศักยภาพให้เหมาะกับแต่ละคน เป็นคนธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นเพื่อให้เหนือคนอื่น การเป็น คนธรรมดาก็สามารถที่จะดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติสุขได้”
คำกล่าวของ นายปัญญา มหาชัย อธิการบดี ในการนำเสนอแนวคิดและที่มาของโรงเรียนวิถีธรรมแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ต่อกรรมการสภามหาวิทยาลัย แขกผู้มีเกียรติ และผู้ปกครอง ในพิธีเปิดโรงเรียนอย่างเป็นทางการ
๑ มิถุนายน ๒๕๕๓
แล้วดูผลที่เกิดขึ้นจริงหน้าโรงเรียนวิถีธรรมในทุกวันนี้ซิครับ..!!
เปรียบเทียบกันเอาเองครับกับถ้อยแถลงสวยหรูดังกล่าวข้างต้น..ที่เป็นเสมือนการ Propaganda ไว้ลวงหลอกผู้คนในสังคมและหาความน่าเชื่อถือไม่ได้ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้..
เพราะ..
คนที่มี “วิถีแห่งธรรม” จริง.. และเป็น “คนดี มีจิตใจที่ดีงาม” จริง..(ใช้คำตามที่โรงเรียนนี้กล่าวไว้ใน “ธรรมที่ ๑” จากล้อมกรอบข้างบน) เขาจะมีบุคลิกลักษณะและอุปนิสัยที่เป็นคุณสมบัติติดตัวประการหนึ่งที่เหมือนกันหมด คือการรู้จัก “Give” มากกว่า “Take”.. เขาจึงไม่มีทางที่จะไม่คิดถึงความเดือดร้อนทุกข์ยากของคนอื่นก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร..
ยิ่งเป็นคนอื่นที่เป็นคนส่วนใหญ่จำนวนมากด้วยแล้ว..คนที่มี “วิถีแห่งธรรม” จริง..และเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีงามจริง..ยิ่งไม่คิดไปเบียดเบียนพวกเขาโดยการติดตั้ง “ยางชะลอความเร็วรถ” ขวางการสัญจรซึ่งถือเป็นการทำลายชีวิตตามปกติสุขดั้งเดิมของเขาที่เคยเป็นมา,
และเพราะ..
คนที่มี “วิถีแห่งธรรม” จริง.. และเป็นคนดี มีจิตใจที่ดีงามจริง.. มีแต่จะคิดถึงการ “เสียสละ” ประโยชน์ส่วนตน (ยิ่งเป็นคนมีโอกาสมากกว่าคนรอบข้างในชุมชน) เพื่อแลกกับประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในสังคมรอบข้างตัวเอง..,
ไอ้นี่..มีแต่ทำตรงกันข้าม..!!..
ดูสิ่งที่พวกโรงเรียนนี้ทำออกมาเรื่อย ๆ แต่ละอย่างตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันนี้ซิครับ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่บ่งบอกและสะท้อนตัวตนด้านลึกของคนทำได้เป็นอย่างดีว่า.. ลมหายใจเข้าออกของชีวิตมีแต่คิดถึงเรื่องที่จะ “Take” เอาจากคนอื่นและสังคมส่วนรวมอยู่ตลอดเวลา..
ทำ “ยางชะลอความเร็วรถ” ก็ตั้งต้นความคิดที่จะ “Take” เข้าหาตัวเองอย่างเป็นด้านหลัก.. รู้จักคิดถึงแต่ด้านของตัวเองเป็นด้านเดียวว่า..ฉันจะได้ปลอดภัย และท่องซ้ำ ๆ วนไปวนมาในหมู่พวกเดียวกันเองแต่ว่า..ฉันจะ “เอา” ความอยู่รอดปลอดภัยของโรงเรียนฉันเท่านั้น.. ฉันผิดด้วยหรือ..??..
โดยไม่เคยคิดถึงอีกด้านควบคู่กันไปด้วยเสมอว่า..ฉันจะต้อง “Give”..ต้อง “ให้”.. ต้อง “เสียสละ”..อะไรบ้างกับผู้คนส่วนใหญ่และสังคมส่วนรวมก่อน..แล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำโครงการ “ยางชะลอความเร็วรถ” ของโรงเรียนฉันในครั้งนี้
เมื่อ..จุดตั้งต้น หรือ “ตัวตั้ง” ของเรื่องการทำ “ยางชะลอความเร็วรถ” นี้..ไม่ได้อยู่ที่การ “Give”..ให้คนในสังคมส่วนใหญ่ที่แวดล้อมอยู่ด้วย.. แต่ไปอยู่ที่การ “Take” เอาแต่ได้ฝ่ายเดียวของโรงเรียนตัวเองอย่างเป็นด้านหลัก..เช่นนี้
แล้วมันจะมี “ธรรมะ” ตามธรรมที่ 1 ที่เมิงพยายามโฆษณาชวนเชื่อตามกรอบข้างต้น..ไปได้อย่างไร..!!..??
คิดแต่จะทำเอาเท่..จะสร้างแต่ “วัตถุ” ที่ดูทันสมัยเพื่ออยากยกระดับโรงเรียนตัวเองให้เห็นว่ามีมาตรฐานสูง เป็นโรงเรียนไฮซง..ไฮโซ..กับเขา..ที่มีวัตถุ..อุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัยครบครัน
แต่ไม่มีสติปัญญาที่จะคิดออกถึงเรื่องความ “แปลกแยก” (Alienation) ที่ห่างเหินและไม่เข้ากันเลยสักนิดกับสภาพแวดล้อมในชุมชน… ทั้งยังขัดกับวิถีสามัญของการดำเนินชีวิตในการเดินทางสัญจรอันเป็นปกติสุขมาแต่ดั้งเดิมของชาวบ้านส่วนใหญ่เขา
แล้วมันจะ “ธรรมชาติ” และ “ธรรมดา” ตามธรรมที่ 2 และธรรมที่ 3..ที่เมิงว่ามา..ตรงไหน..ครับ ?...ไอ้ฟายยยยยย..!!
ถามหน่อยเถิดว่า..
การกระทำที่สร้างผลงานแบบ “ยางชะลอความเร็วรถ”,
หรือ.. ล่าสุด..
ไปจับจองกั้นพื้นที่ถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรมแห่งนี้เอาดื้อ ๆ เพื่อไว้ให้จอดรถเฉพาะพวกโรงเรียนตัวเอง..โดยทั้งตีเส้นและเขียนข้อความประกาศความเป็นเจ้าของพร้อมกับยึดพื้นผิวถนนตรงบริเวณนี้ไปใช้ส่วนตัวทั้งวันทั้งคืนตลอด 24 ชั่วโมง..(ในทางปฎิบัติ)..อย่างหน้าด้าน ๆ...
แบบนี้นั้น..,
มันถือเป็นการกระทำที่เป็นไปในแนวทางของ “3 ธรรม”… ทั้ง “ธรรมะ”,
“ธรรมชาติ” และ “ธรรมดา” ตามคุณค่าความหมายที่คุยอวดอ้างบอกกับชาวบ้านเขา..ตรงไหนมิทราบ..ขอรับ..??..!!
และนอกจากคำถามทาง “ธรรม” แล้ว ก็ยังต้องถามต่อด้วยคำถามทาง “โลก” ด้วยว่า..
พวกเมิงเอา “อำนาจ” อะไรของการบริหารราชการแผ่นดินมาใช้ในการติดตั้งยางชะลอความเร็วรถและการตีเส้นจับจองยึดครองพื้นผิวถนนส่วนรวมของคนทั้งมหาวิทยาลัยไปเป็นของส่วนตัวเช่นนี้.. ???..!!
มีกฎหมาย.., มีพระราชบัญญัติอะไร..ฯลฯ..มารองรับการกระทำแบบที่เห็นกันชัด ๆ ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นเรื่องเฉพาะเจาะจงของ “โรงเรียนวิถีธรรม” กันเองเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องส่วนรวมระดับของ “มหาวิทยาลัย” แต่อย่างใดเลย..!!..??
บทบัญญัติทางกฎหมายข้อใด.. หรือมาตราใด.. ใน..
“พรบ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547”,
หรือใน..
“พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547”,
หรือใน..
“พรบ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551”
หรือใน..
“พรบ.การบริหารส่วนงานภายในของสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2550”
หรือใน.. พรบ.อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ…
ได้ให้อำนาจหน่วยงานย่อยหรือใครก็ได้ในมหาวิทยาลัยที่นึกอยากตีเส้นบนถนนสายหลักของมหาวิทยาลัยเพื่อกันพื้นที่ถนนของส่วนรวมนั้นไว้ใช้ส่วนตัว หรือนึกอยากจะทำโน่นทำนี่บนถนนของมหาวิทยาลัย..ก็สามารถทำได้เลยแบบที่ทำกันอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏ แถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร ตอนนี้..??
ไหน.., ให้พวกเมิง..ที่เป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครชุดนี้..ได้ตอบมาดูทีซิว่า..
อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะรองรับการกระทำต่าง ๆ บนถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรมในลักษณะส่วนตัวตามแบบที่เห็นกันนั้น..มันถูกระบุอยู่ในมาตราไหนของพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่ใช้ในการบริหารงานมหาวิทยาลัยราชภัฏอยู่ในขณะนี้บ้าง..???
ถ้าไม่ตอบ..หรือตอบไม่ได้..!!..,
แล้วคนทั้งจังหวัดสกลนคร..และคนทั้งประเทศจะไม่พากันงุนงงและซุบซิบนินทากันหรือว่า..มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้จะไปสอนวิชากฎหมายให้นักศึกษาเอกนิติศาสตร์ของตนกันอย่างไร ?.., จะสอนหลักการและปรัชญาทางกฎหมายให้นักศึกษาสาขานิติศาสตร์ของตนกันอีท่าไหน..??
ในเมื่อ..มหาวิทยาลัยตนเองสอนหลักการและวิชาการทางกฎหมายในห้องเรียนไว้อย่างหนึ่ง แต่ไปทำของจริงไว้นอกห้องเรียนอีกอย่างที่ต่างกับหลักวิชาทางกฎหมายที่ใช้สอนนักศึกษาเอกนิติศาสตร์ในห้องเรียนอย่างสิ้นเชิง
ในห้องเรียน สอนให้ทำตามกฎหมาย..ตามหลักวิชาการทางนิติศาสตร์.., นอกห้อง (บนถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรม) ก็ทำนอกกฎหมาย ทำคนละเรื่อง ทำแบบไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีกฎกติกาให้อ้างอิง แล้วแต่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำลงไปเลย (ซึ่งไม่น่าเชื่ออย่างมากว่าระดับมหาวิทยาลัยขนาดนี้จะยังมีลักษณะการทำงานแบบนี้ดำรงอยู่อีก โดยเฉพาะใน พ.ศ. นี้ด้วยแล้ว..เฮ้อ..!!)
และข้อสำคัญ..ถ้าถูกนักศึกษาวิชาเอกนิติศาสตร์ของตนซึ่งเห็นตัวอย่างของจริงนอกห้องเรียนตำตาทุกวันบนถนนบริเวณหน้าโรงเรียนวิถีธรรม.. ได้ตั้งคำถามทางวิชาการขณะศึกษาในห้องเรียนนิติศาสตร์เพื่อให้ตัวเขามีความรู้ทางกฎหมายมากขึ้นในประเด็นนี้..จะมีคำตอบให้พวกเขาในห้องเรียนกฎหมายนั้นว่าอย่างไร ?
ถ้าไม่ตอบ..หรือตอบไม่ได้..!!..,
แล้วจะไม่ให้คนทั้งจังหวัดสกลนคร..และคนทั้งประเทศเขาพากันสงสัยหรือว่า..มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้เปิดสอนหลักสูตรปริญญานิติศาสตร์บัณฑิต..ขึ้นมาทำไม ??..
ในเมื่อ..หลักการทางกฎหมายที่สอนกันปาว ๆ ทุกวันในห้องเรียน ไม่ได้ถูกนำมาใช้งานให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานกิจการต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเลย..เพราะยังปล่อยให้พวกสมุนบริวารในระบบอุปถัมภ์ของผู้บริหารมหาวิทยาลัยนึกอยากทำอะไรบนถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรมก็ทำได้อย่างไม่มีหลักและอำนาจหน้าที่ทางกฎหมายใด ๆ มารองรับ..,
ถ้าไม่ตอบ..หรือตอบไม่ได้..!!..,
แล้วจะให้คนทั้งจังหวัดสกลนคร..และคนทั้งประเทศเขาพากันเชื่อถือ..เชื่อมั่นในการเปิดสอนวิชาชีพทางกฎหมายให้ลูกหลานชาวบ้านและผลิตบัณฑิตสาขานิติศาสตร์ออกสู่สังคมไทยของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้ได้อย่างไร..และได้แค่ไหน..??..!!
ในเมื่อ..ขนาดเรื่องของตัวเอง ก็ยังทำไม่ได้..ยังไม่มีความสามารถเอาหลักวิชาชีพทางกฎหมายมาใช้กับงานตัวเองได้จริง..(อย่างเช่น งานตีเส้นกั้นถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรม).. หรืออาจกล่าวว่าแทบไม่ได้ถูกนำมาใช้เลยก็ว่าได้.. แล้วจะสอนให้คนอื่นเอาวิชาชีพทางกฎหมายไปใช้กับงานของเขาในอนาคตที่จบออกไปได้จริงหรือ ??
เพราะจากเคสนี้ ได้สะท้อนให้เห็นอย่างประจักษ์ชัดเลยว่า..พวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครชุดนี้..ไม่ได้มีการใช้วิชาชีพทางกฎหมายหรือหลักความรู้ทางนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยตนเองผลิตอยู่..มารับใช้ หรือบูรณาการเข้ากับการบริหารกิจการงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้แต่อย่างใด..!!
กรณีนี้..
ก็เหมือนกับอีกหลาย ๆ ศาสตร์..หลาย ๆ สาขาวิชาที่ “ดีแต่เปิดสอน” ในมหาวิทยาลัยราชภัฏ ณ แยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร แห่งนี้..
แต่ไม่เคยถูกนำมาบูรณาการและปรับใช้อย่างสอดคล้องกลมกลืนกับงานของการบริหารมหาวิทยาลัยในลักษณะเป็น “องค์รวม” ให้เกิดผลที่ดีจริงทั้งต่อตัวมหาวิทยาลัยของตนเองและต่อชุมชนสังคมส่วนรวมภายนอกเลย..
มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้..ที่ตกอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดปัจจุบันนี้ จึงมีแต่เรื่องของการ “แยกส่วน” เกิดขึ้นในทุกบริบทของการดำเนินงานต่าง ๆ ให้กับมหาวิทยาลัยมาตลอดกว่า 10 ปี
ส่วนคำว่า “องค์รวม” เป็นแต่เพียงคำพูดสวย ๆ ที่พวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏชุดนี้มีเอาไว้ใช้ท่องเพื่อพูดหากินในงานสัมมนา งานประชุม งานบรรยาย และงานสังคมต่างๆ ที่เกี่ยวกับ “การพูด” เพียงอย่างเดียวเท่านั้น..
ไม่มีผลในการนำมา Implement หรือถูกใช้ปฏิบัติจริง ๆ จนเกิดผลสำเร็จแต่อย่างใด..!!
กรณีเช่นนี้.. ยังมีตัวอย่างจากศาสตร์หรือสาขาอื่น ๆ อีกหลายศาสตร์หลายสาขาที่เป็นไปในลักษณะ “แยกส่วน” กับการบริหารกิจการงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้.. ไม่ใช่เฉพาะแต่กับศาสตร์ทางกฎหมายที่แยกส่วนกับการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยในกรณีการทำกับถนนส่วนรวมหน้าโรงเรียนวิถีธรรมดังที่แสดงไว้ข้างต้น..เท่านั้น..
ซึ่งเดี๋ยวจะแสดงตัวอย่างต่าง ๆ เหล่านั้นพร้อมการวิจารณ์ให้เห็นภาพกันชัด ๆ เกี่ยวกับประเด็นนี้.. ในครั้งต่อ ๆ ไปครับ l
แต่…
ถ้าตอบว่า..พวกเมิงสามารถทำได้..!!..,
แล้วต่อไป..คนอื่นเขาก็เลียนแบบ..ทำตามอย่างที่พวกเมิงทำกันบ้าง..
พวกเมิงจะว่าอย่างไร ??..!!
แล้วถ้า..พวกเมิงทำได้.. ต่อไป..แมร่ง..จะไม่มั่วและเละเทะกันไปหมดทั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้หรือ ??…
เพราะ..คณะ, ศูนย์, สำนักอื่น ๆ อีกเป็นสิบ ๆ หน่วยงานย่อย.. ก็จะเอาอย่างบ้าง ด้วยเกิดการเรียนรู้ว่าสามารถทำแบบพวกโรงเรียนวิถีธรรมได้..
แล้วต่างพากันทำตามพวกเมิง..พากันเฮโลยึดถนนสาธารณะของส่วนรวมที่ผ่านหน้าหน่วยงานของตัวเองเพื่อตีเส้นครอบครองยึดไว้เป็นพื้นที่ส่วนตัวจนคนอื่นไม่สามารถใช้ร่วมได้..,
หรือพากันติดตั้งโน่นนี่ตามใจชอบบนถนนส่วนรวมของทุกคน..เลียนแบบพวกเมิงที่ทำเป็นตัวอย่างและเป็นต้นแบบ..(ในทางที่เลว)..ไว้..
แล้วพวกเมิงจะว่าอย่างไร ??..!!
ซึ่งถ้าปล่อยให้มหาวิทยาลัยถูกขับเคลื่อนไปในลักษณะที่ใครต่อใครก็สามารถมาจัดการกับ “สถานที่” ระดับส่วนรวมขององค์การ (อย่างเช่น ถนนหนทางภายในมหาวิทยาลัย)..ได้ง่าย ๆ ตามอำเภอใจเยี่ยงนี้แล้ว.. เราจะมีคนมาเป็นถึงระดับ “อธิการบดี” และมีคนมาเป็น “รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร” เพื่อคอยดูแลเรื่องระดับภาพรวมของมหาวิทยาลัย..ไว้ทำซากอะไรมิทราบ ??..
และเรายังจะมีหลัก มีเกณฑ์ มีกติกา มีตัวบทกฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยวการบริหารงานองค์กรมหาวิทยาลัยนี้..ไว้หาหอกและหาตะบักตะบวยทำไม..ถ้าใครนึกอยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจชอบแบบพวกโรงเรียนวิถีธรรม..??
แล้วพวกเมิงจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ??..!!!
จะปล่อยทิ้งสภาพ “มั่ว ๆ” ในเรื่องนี้ไว้กับมหาวิทยาลัย..เพื่อให้คนทั้งสังคมเขาดูถูกมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้ว่ามี “มาตรฐานการทำงานต่ำ” (ชิบหาย !)..ต่อไปเรื่อย ๆ แบบนี้..โดยการทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างไร้ยางอายและไร้ความรับผิดชอบตามนิสัยสันดานในการทำงานของพวกเมิงที่คนเขารู้เช่นเห็นชาติกันมาร่วมสิบปี..อย่างงั้นหรือ..???
ช่วยแถลงตอบให้สังคมส่วนรวมเขาหายข้องใจทีเถิดครับ..!
ทั้งคำถามทาง “ธรรม” และคำถามทาง “โลก”
อย่าใช้นิสัยหน้ามึน หลบเลี่ยง โมเม เฉไฉ ลอยหน้าลอยตา หน้าด้าน อย่างหนา ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างไร้จิตสำนึกที่ดีงามต่อความถูกต้องชอบธรรม..ซึ่งเป็นพฤติกรรมสันดานแบบเดิม ๆ ของพวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครที่ถามอะไรมา..ก็ไม่เคยเห็นตอบสังคมส่วนรวมอย่างเป็นกิจลักษณะซักที..ทั้ง ๆ ที่การชี้แจง ตอบคำถามเพื่อให้ความกระจ่างแจ้งกับสาธารณชน..เป็น "ภาวะผู้นำ" (leadership) และเป็นหน้าที่โดยตรงของคนที่อาสามาอยู่ในตำแหน่งตรงจุดนี้
หรือว่า..ที่ไม่เคยตอบซักที.. ก็เพราะตอบกันไม่ได้..!!
และที่ตอบกันไม่ได้..ก็เพราะมันไม่มี “3 ธรรม” ที่ว่าจริงอยู่ในตัวคนลงมือทำและตัวผู้บริหารมหาวิทยาลัยที่เป็นคนอนุมัติให้ทำผลงานยางชะลอความเร็วรถกับผลงานการยึดพื้นที่ถนนไว้จอดรถส่วนตัวนี้..มาตั้งแต่แรก..
เมื่อทั้งคนลงมือทำและคนส่งเสริมอนุมัติให้ทำ..ต่างก็ไม่เคยมีคุณสมบัติของ “3 ธรรม” ติดตัวอยู่จริง.. ย่อมไม่มีทางที่ผลงานอันเกิดจากฝีมือและการกระทำของคนเหล่านี้จะมี “ธรรม” ทั้ง 3 ฝังเข้าไปอยู่ในตัวงานนั้นด้วย…
ในขณะที่ฝั่งหนึ่ง..แออัด..หนาแน่น..
อีกฝั่งหนึ่ง..กลับโล่ง..โปร่ง..ว่าง.. ทั้งวัน..!!!
อีกอย่าง, นอกจากการต้องมีคุณสมบัติที่ “ไร้ธรรม”...(ไม่ว่า..จะ 3 ธรรม, 4 ธรรม, หรือ 5 ธรรม 10 ธรรม..ฯลฯ)...ที่ไม่คิดถึงความเดือดร้อนของคนอื่นและแสดงความเห็นแก่ตัวในผลงานที่ทำออกมาอย่างน่ารังเกียจได้สุด ๆ แล้ว..
คนที่จะคิด..และทำเรื่องแบบนี้ได้..
ยังต้องมีคุณสมบัติที่ “โง่” อย่างบัดซบอีกด้วยครับ..!!
เพราะถ้าไม่โง่จริง ไม่มีทางคิดเรื่องยางชะลอความเร็วรถในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมดังเช่นที่เห็น และยิ่งไม่มีทางคิดเรื่องการตีเส้น-เขียนข้อความยึดถนนสาธารณะในมหาวิทยาลัยมาครอบครองเสมือนเป็นสมบัติส่วนตัวที่พ่อแม่ตัวเองทิ้งมรดกไว้ให้..ในสถานที่และสถาบันระดับอุดมศึกษาเช่นนี้..ออกมาได้อย่างเด็ดขาดครับ..!!!
โง่จนไม่รู้จักคิดก่อนว่า.. “ที่แห่งนี้”..ตั้งขึ้นมาให้ใคร ?
“นักศึกษา” หรือ “นักเรียนเด็กเล็ก” ??
และโง่จนฉุกคิดต่อไม่ได้ว่า..
ใครเป็นคนจ่ายภาษีให้เป็นงบประมาณแผ่นดินและจ่ายเงินส่วนตัวเป็นเงินบำรุงการศึกษาเพื่อนำมาหล่อเลี้ยง “ที่แห่งนี้” เป็นหลักและเป็นจำนวนก้อนใหญ่กว่ากัน..?
ระหว่าง.. “พ่อ-แม่/ผู้ปกครอง” ของ “นักศึกษา”
หรือ.. “พ่อ-แม่/ผู้ปกครอง” ของ “นักเรียนเด็กเล็ก” ??
สมมุติว่า.. ถ้ามหาวิทยาลัยมีทรัพยากรจำกัด และมีความจำเป็นจะต้องจัดลำดับ Priority ในการตอบสนองหรือให้บริการก่อน..
มันโง่..และขาดสติ..ขาดปัญญากัน..จนคิดไม่ออกหรือว่า..
ระหว่างคนเป็นพัน ๆ คน..กับ..คน 20 คน..
ควรต้อง Serve ใครก่อน ???...
(ฟาย..จริง ๆ...!!)
นี่..กลับทำตรงกันข้าม..!!!
เช่น.. เอาถนนส่วนรวมไปครอบครองส่วนตัว กันที่ไว้ให้เฉพาะพวกตัวเองทั้ง 24 ชั่วโมงในแต่ละวัน เพียงเพื่อให้ “เด็กเล็ก” จอดรถแค่เฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ แค่ช่วงเช้าก็ประมาณไม่เกิน 1 ชั่วโมง และช่วงเย็นก็ประมาณ 1 ชั่วโมงเศษเท่านั้น !
ส่วน “นักศึกษา”.. แมร่ง..ไล่ให้ไปจอดที่ไหนก็ไป.. ทำให้นักศึกษาต้องนำรถไปจอดในที่ไกล ๆ.. ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเคยจอดที่นี่กันมายาวนาน..,
และทั้ง ๆ ที่..เป็นที่ของพวกเขาแท้ ๆ..มาแต่เดิมตามปรัชญาและจุดมุ่งหมายของการก่อตั้งสถาบันระดับอุดมศึกษาแห่งนี้ให้เป็นสถานที่ของ..“นักศึกษา”…
ไม่ใช่..“เด็กเล็ก”…!!
ทั้ง ๆ ที่...
พวกเขาเคยจอดที่นี่กันมายาวนาน...,
และ..เป็นที่ของพวกเขาแท้ ๆ...
ดูรูปข้างล่างซิครับ..
พื้นที่ตรงบริเวณที่โรงเรียนแห่งนี้ไปปรับปรุงเพื่อตีเส้นเหลืองยึดครองไปเป็นที่จอดรถรับ-ส่งนักเรียนเป็นการเฉพาะส่วนตัวของตนนั้น..
ยังมีรอยตีเส้นสีขาวของเดิมให้เป็นช่องจอดรถมอเตอร์ไซค์ของนักศึกษาอยู่เลย..!!
มันจึงเหมือนไปแย่งที่..
และไล่ที่เจ้าของเดิมเขาชัด ๆ..!!!
ซึ่งยังไม่รู้เลยว่า..เอาอำนาจหน้าที่อะไรของการบริหารราชการแผ่นดินไปลบล้างและละเมิดสิทธิของเจ้าของเดิมโดยการตีเส้นเหลืองให้เป็นที่จอดรถใหม่ของตน..ทับเส้นขาวที่เป็นที่จอดรถดั้งเดิมมาแต่ก่อนของนักศึกษาเขาเอาอย่างดื้อ ๆ..และไม่ต้องบอกกล่าวอะไรเจ้าของพื้นที่เดิมเขาก่อน..
ถ้าไม่ใช่อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของการบริหารราชการแผ่นดิน.. อำนาจเดียวที่จะสามารถทำสิ่งเหล่านี้และกล้าทำในลักษณะ “หยาบ” ดังที่เห็นได้.. ก็คือ.. “อำนาจเถื่อน”..!!
อันเป็นอำนาจนอกกฎหมายของพวกที่มีกมลสันดานเป็นนักเลงโตและเป็นอันธพาลติดตัวมาเท่านั้น..ที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ !
และต้องเป็นพวกที่มีความคิดความเชื่อแอบฝังอยู่ภายใต้จิตสำนึกส่วนลึกของตนว่า..
มหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้เป็นดินแดนส่วนตัวในความครอบครองของพวกตนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น.. จึงนึกอยากทำอะไรก็ทำเลยอย่างหน้าตาเฉยและไม่รู้สึกสะทกสะท้านใด ๆ..เช่นนี้ได้ !
และจึงกล้าทำเรื่องแบบไปไล่ที่ของคนอื่นส่วนใหญ่..แล้วแย่งยึดครองมาเป็นสมบัติส่วนตัวเพื่อไว้ใช้ตอบสนองความสะดวกสบายเฉพาะกลุ่มเล็ก ๆ ที่มีคนเพียงหยิบมือของพวกตัวเอง..ได้อย่างชนิดหน้าด้าน, ปราศจากหิริโอตตัปปะ, ไร้ยางอาย, ไร้จริยธรรม, และเห็นแก่ตัวอย่างน่ารังเกียจเป็นที่สุด..เช่นนี้ !
หรือนี่คือมรรคาของการมี “วิถีธรรม” ???..!!!
ซึ่งนับเป็นเป็นครั้งแรกที่ราชภัฏแห่งนี้ทำให้ผมและคนในสังคมจำนวนมาก..ได้ค้นพบการนิยามคำว่า “วิถีธรรม” ในคุณค่าและความหมายใหม่จากการกระทำตามกรณีข้างต้น..ว่า
พวกมีวิถี “ธรรม” มาก..มันต้องบำเพ็ญตนให้มีนิสัยสันดานและพฤติกรรมแบบนี้นี่เอง..!!
ซึ่งไม่ใช่เป็นการไปจอดในที่ไกล ๆ เฉพาะช่วงเช้าและเย็นที่มีการรับ-ส่ง “เด็กเล็ก” เท่านั้น.. ช่วงเวลาที่เหลือจากการรับ-ส่ง ในตอนกลางวันทั้งวันนั้น ก็ใช่ว่าบรรดาเหล่า “นักศึกษา” รวมทั้งประชาชนคนอื่นทั่วไป..(ไม่เว้นแม้กระทั่ง..คณาจารย์, พนักงาน, เจ้าหน้าที่ ฯลฯ ที่เป็นบุคคลากรภายในมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้..และบุคคลภายนอกที่เข้ามาติดต่องานหรือส่งของให้หน่วยงานอื่นของมหาวิทยาลัย)..จะสามารถเข้าไปใช้พื้นที่เพื่อจอดรถตรงในกรอบตีเส้นเหลืองนั้นได้
ผลในทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง..(ไม่ใช่ในทางทฤษฎีหรือทางคำพูดแก้ตัวจากเจ้าของผลงานและผู้บริหารมหาวิทยาลัยฯ)..ก็คือ..
ตลอดช่วงกลางวัน..ประมาณ 6-7 ชั่วโมง..ตั้งแต่เช้าจรดเย็นหลังการใช้งานรับ-ส่งนักเรียนของโรงเรียนนี้รวมแค่ 2 ชั่วโมงในแต่ละวันแล้ว..ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใช้พื้นที่นั้นในทางปฏิบัติ เพราะมันเล่นตีเส้นและเขียนข้อความแสดงความเป็นหมาหวงก้างอย่างนั้น ใครหน้าไหนที่เขามียางอายและมีสติสัมปชัญญะปกติดีกัน..จะอยากไปยุ่ง..ไปใช้ร่วมกับมัน..
พื้นที่ผิวถนนตรงนั้นจึงถูกปล่อยทิ้งว่างไว้ตลอดทั้งวันโดยไม่มีการใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่าสมกับที่ทุกคนได้เสียภาษีให้รัฐเพื่อร่วมกันสร้างถนนเส้นนี้ขึ้นมา !
อีกอย่าง..,
ที่สะท้อนถึงความอ่อนแออย่างมากในสติปัญญาทางด้านความคิดอ่านเกี่ยวกับการบริหารงานองค์การ..ของพวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยแห่งนี้..
ก็คือ..
การเอา “เจ้าหน้าที่ รปภ.” ของ “มหาวิทยาลัย” มายืนเฝ้าการรับ-ส่งนักเรียนของโรงเรียนนี้ที่บริเวณถนนหน้าโรงเรียนในช่วงเช้าถึง 2 คน และเย็นอีก 2 คน
เช่นกันครับ.. การที่เอาเจ้าหน้าที่ รปภ. ของมหาวิทยาลัยวันละ 4 คน เพื่อมาวางกำลังอารักขาคนเพียง 20 คนนี้.. ได้เกิดคำถามตามมาว่า..
เจ้าหน้าที่ รปภ. ที่อยู่หน้าโรงเรียนเหล่านี้..กินเงินเดือนจากใคร ?
จาก “นักศึกษา” ของมหาวิทยาลัย.., หรือ จาก “เด็กนักเรียน” ของโรงเรียนวิถีธรรม..??
ในโครงสร้างระบบการบริหารมหาวิทยาลัยทุกวันนี้นั้น..เงินงบประมาณที่ใช้จ้างเจ้าหน้าที่ รปภ. ของมหาวิทยาลัย มีที่มาจากไหน ?
จาก “นักศึกษา” ของมหาวิทยาลัย.., หรือ จาก “เด็กนักเรียน” ของโรงเรียนวิถีธรรม..??
โง่มากจนคิดวิเคราะห์เพื่อตอบคำถามเบื้องต้นเหล่านี้ไม่ได้ก่อนหรือ ถึงตัดสินใจสั่งการและดำเนินการให้..(ดูเสมือน)..มีการ “วางกำลัง” เจ้าหน้าที่หน่วย รปภ. ของมหาวิทยาลัยไว้บริเวณหน้าโรงเรียนวิถีธรรมใน “ลักษณะ” และ “วิธีการ” แบบที่เห็นเช้า-เย็น..ในทุกวันนี้..
จากเอกสารแผ่นพับแนะนำ..
“โรงเรียนวิถีธรรม แห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร”
ได้ระบุข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง ค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าเล่าเรียน ของนักเรียนโรงเรียนแห่งนี้ไว้ว่า..
โรงเรียนได้จัดเก็บ “ค่าธรรมเนียมการศึกษาและค่าเล่าเรียน” ไว้ที่ภาคเรียนละ 9,000 บาท ต่อนักเรียน 1 คน
โดยใน 9,000 บาท นั้น.. แบ่งออกเป็น :
- ค่าธรรมเนียมการศึกษา 3,000 บาท
- ค่ากิจกรรมพื้นฐานตามหลักสูตร 1,000 บาท
- ค่าอุปกรณ์การเรียน 1,000 บาท
- ค่าหนังสือ 500 บาท
- ค่าอาหารกลางวัน 2,000 บาท
- ค่าอาหารเสริม (เช้า – บ่าย) 1,500 บาท
ถามว่า.. มีส่วนไหนจากข้อมูลนี้ ที่เป็นการนำไปอุดหนุนการบริหารงานมหาวิทยาลัยแบบ “โดยตรง” บ้าง (อย่าตอบแบบเลี่ยงบาลี อ้างการอุดหนุนโดยอ้อมจากการเสียภาษีให้รัฐของผู้ปกครองนักเรียน – เพราะคนละประเด็นที่กำลังพูดถึงอยู่)
และมีส่วนไหนในค่าเทอม 9,000 บาท ได้ถูกนำไปใช้เป็นงบประมาณเพื่อการบริหารกิจการส่วนรวมของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครบ้าง ?
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง.. ใน 9,000 บาท นั้น..
มีส่วนไหนส่งตรงไปเป็นค่าจ้าง หรือ เงินเดือนให้เจ้าหน้าที่ รปภ. ของมหาวิทยาลัยบ้าง..??..!!
คำตอบ..จากข้อมูลที่เห็นข้างบน..คือ..
ไม่มีเลย..!!
ทั้ง 9,000 บาท มีแต่รายการไปอุดหนุนและตอบสนองประโยชน์ในเรื่องส่วนตัวของนักเรียนแต่ละคนทั้งสิ้น..!!
ยิ่งเมื่อตามไปดูข้อมูลรายละเอียดที่เป็น ค่าธรรมเนียมการศึกษา จำนวน 3,000 บาท ต่อนักเรียน 1 คน.. นั้น..
ก็ไม่พบว่ามีส่วนไหนที่จะโยงไปเกี่ยวข้องกับการอุดหนุนงบประมาณของมหาวิทยาลัย เพื่อไปเป็นค่าจ้างหรือเงินเดือนให้เจ้าหน้าที่ รปภ. คนไหนเลย..
มีแต่เรื่องการตอบสนองประโยชน์ส่วนตัวของนักเรียนแต่ละคนเช่นกัน..
ตามนี้ครับ…
ค่าธรรมเนียมการศึกษา จำนวน 3,000 บาท ต่อนักเรียน 1 คน
แยกเป็น..
ค่าชุดนักเรียน 2 ชุด,
ชุดพละ 1 ชุด,
ชุดผ้าไทย 1 ชุด,
ชุดเครื่องนอน 1 ชุด,
ชุดดูแลสุขภาพฟัน 1 ชุด,
ชุดถุงผ้าสัมภาระสำหรับเด็ก 1 ใบ
(ในเอกสารข้อมูลของโรงเรียนนี้ ไม่ได้บอกราคาของแต่ละรายการ บอกแต่จำนวนปริมาณว่ามีเท่าไร)
ที่มา : www.snru.ac.th/UserFiles/File/news/53_12(7)panpub.pdf
ประเด็น..“ความคิดหลัก”..ของเรื่องนี้..!!.. (ฟังให้ดี..!!)
ไม่ใช่อยู่ตรงประเด็นที่จะเอาเจ้าหน้าที่ รปภ. ของมหาวิทยาลัยมาเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานของโรงเรียนวิถีธรรม..ไม่ได้เลย..
แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า..
สิ่งที่ “คนคิด” และ “คนจัดการ” เรื่อง รปภ. ให้โรงเรียนวิถีธรรมในลักษณะแบบที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้..นั้น.. ได้ทำเรื่องนี้โดยมี “ที่มา” แบบ “ไร้ความคิด” ในเรื่องจุดเริ่มต้นของหลักการ, ปรัชญาการก่อตั้ง, และการทำหน้าที่หลักของสถาบันที่เรียกตัวเองว่า “มหาวิทยาลัย”
(เป็น “University”.. ไม่ใช่ “School”.. หรือไม่ใช่ “Nursery”)
เมื่อทำโดย “ไร้ความคิด” หรือไม่ต้องคิดอะไรอย่างแยกแยะ..และคิดให้เป็นระบบไว้ก่อน.. ก็ส่งผลให้ภาพลักษณ์เรื่อง “รปภ.” เช้า-เย็น หน้าโรงเรียนแห่งนี้ ออกมา “เว่อร์” ในสายตาคนทั่วไปในมหาวิทยาลัย (แต่คนทำเรื่องนี้..ไม่รู้ตัว)..,
จากนั้น..คนทั่วไปก็รู้สึกนึกคิดต่อมาได้ถึงเรื่อง “ความไม่เป็นธรรม” ในความแตกต่างระหว่างการ Serve ผู้เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างแท้จริงตามจุดมุ่งหมายและปรัชญาการก่อตั้งสถาบันอุดมศึกษาแห่งนี้..(คือบรรดาเหล่า “นักศึกษา” เป็นพัน ๆ คนของมหาวิทยาลัย).. เทียบกับการ Serve กลุ่มเป้าหมายรองที่ไม่อยู่ในจุดเริ่มต้นของเป้าหมายและปรัชญาการก่อตั้งสถาบันอุดมศึกษาแห่งนี้เสียด้วยซ้ำ..(คือบรรดาเหล่า “เด็กนักเรียน” เพียง 20 คนต่อปี ของโรงเรียนวิถีธรรม)
เป็นความแตกต่างในการ Serve ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว..ระหว่างกลุ่มเป้าหมายหลักนับหลายพันคน กับกลุ่มเป้าหมายรองเพียง 20 คน !!
ทั้ง ๆ ที่.. คนที่เป็นเจ้าของ “รปภ. มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ที่แท้จริง..เป็น “นักศึกษา” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.. ไม่ใช่ “เด็กนักเรียน” ของโรงเรียนวิถีธรรม..,
ทั้ง ๆ ที่.. คนจ่ายเงินจ้าง “รปภ. มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ที่แท้จริง..เป็น “นักศึกษา” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.. ไม่ใช่ “เด็กนักเรียน” ของโรงเรียนวิถีธรรม..,
ทั้ง ๆ ที่.. หน่วยงาน “รปภ. มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” อยู่ได้ เพราะได้รับเงินเดือน, สวัสดิการ, และการอุดหนุนต่าง ๆ ที่มี “ที่มา” จากนักศึกษาของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.. ไม่ใช่ เด็กนักเรียนของโรงเรียนวิถีธรรม
ให้ผู้บริหารที่ดูแลหน่วยงาน รปภ. และ เจ้าหน้าที่ รปภ. ของมหาวิทยาลัย ไปดูและศึกษาซะ..ว่า.. แต่ละเทอมที่นักเรียนโรงเรียนวิถีธรรมจำนวน 20 คน จ่ายคนละ 9,000 บาทนั้น มีค่าเงินเดือนให้ เจ้าหน้าที่ รปภ. ของมหาวิทยาลัย..รวมอยู่ด้วยหรือไม่ ??
ศึกษาแล้ว..หวังว่าต่อไปจะมี “จิตสำนึก” ต่อการให้บริการและดูแลเอาใจใส่ “นักศึกษา” (ผู้เป็นเจ้าของหน่วยงาน รปภ. ที่แท้จริง และเป็นผู้ที่หล่อเลี้ยงให้เจ้าหน้าที่ รปภ. ของมหาวิทยาลัยอยู่ได้)..มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน..
ที่แทบจะปล่อยให้ “นักศึกษา” ของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้เสี่ยงภัย..เสี่ยงชีวิตกันเองจากการถูกรถชนตายและพิการ..จากอุบัติเหตุบนท้องถนน “ตามแยกต่าง ๆ” ของมหาวิทยาลัยในชั่วโมงเร่งด่วนและช่วงที่มีปริมาณการจราจรคับคั่ง !!
ซึ่งการปล่อยให้เกิดสภาพการเสี่ยงภัยเสี่ยงชีวิตกันเองในการใช้รถใช้ถนนของนักศึกษาภายในมหาวิทยาลัยนั้น ไม่ว่าจะมองในแง่ “ฝีมือการบริหารจัดการองค์การ” และมองในแง่ “จริยธรรมหรือมนุษยธรรมพื้นฐาน” ของคนเป็นผู้บริหารองค์การก็ถือว่าสอบตก และเป็นคนที่ใช้ไม่ได้..ทั้งนั้น..!!!
เพราะจะถือว่าเป็นคนมีฝีมือเชิงการบริหารองค์การจนสามารถสอบผ่าน และจะถือว่าเป็นคนใช้ได้ทางจริยธรรมที่มีจิตใจคิดถึงความทุกข์ยากลำบากของเพื่อนมนุษย์และปรารถนาช่วยเหลือให้เขาดีขึ้น..ได้อย่างไร ?.. ในเมื่อกับเรื่องแบบนี้..แมร่ง..กลับไม่ “ลงทุน” (Investment) สร้างความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนให้นักศึกษาและบุคคลากรภายในจำนวนมาก
ทั้งเรื่องพวกนี้.. ยังถือเป็นเรื่องในชีวิตประจำวันที่ต้องเกิดขึ้นเป็นสามัญปกติของทุกคน.. แต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏที่นี่กลับขาดจิตสำนึกและไม่เคยเอาใจใส่ในเรื่องพวกนี้ จึงปล่อยให้สภาพแต่ละแยกบนถนนภายในมหาวิทยาลัยมีการ “วัดใจ” กันเองของผู้จะฝ่าข้ามแยกที่มาจากทั้ง 4 ทิศทาง..อย่างที่เห็นกันในทุกวันนี้..
โดยเฉพาะช่วงชั่วโมงเร่งด่วนที่มีปริมาณการจราจรหนาแน่นสูง ยิ่งต้องวัดใจและเสี่ยงภัยกันสุด ๆ เป็นพิเศษ จนอดรู้สึกไม่ได้ว่า ถ้าผมเป็นนักศึกษาที่นี่ ผมก็คงตั้งคำถามกับตัวเองว่า “นี่กูตั้งใจสอบเข้ามาที่นี่ เพื่อจะมาเรียน หรือมาตายและพิการกันแน่ว่ะ..!!”
และอดรู้สึกคิดถึงใจของพ่อ-แม่ หรือผู้ปกครองของนักศึกษาที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้ว่า.. ถ้าผมมีลูกเป็นนักศึกษาที่นี่และมาเห็นสภาพในมหาวิทยาลัยแบบที่เป็นอยู่ดังกล่าวมาข้างต้น ผมก็คงคิดตั้งคำถามกับตัวเองเช่นกันว่า “นี่กูส่งลูกกูไปเรียน หรือส่งให้ไปเสี่ยงตายกันแน่ว่ะ..!!”
ลองไปดูสภาพของจริงที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยทุกวันนี้..ว่าที่กล่าวมานั้น..ใช่..หรือ..ไม่ใช่..?
แล้วลองเทียบกันเองครับ..ระหว่างการ Serve นักศึกษาและบุคคลากรส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยตรงบริเวณถนนตามแยกหลัก ๆ หรือถนนส่วนอื่น ๆ หน้าคณะ/สำนักต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้.. เปรียบเทียบกับการ Serve คนส่วนน้อยกลุ่มหนึ่งบริเวณถนนหน้าโรงเรียนวิถีธรรมของ “หน่วยงาน รปภ.” ที่นี่
ไม่แต่เท่านั้น..,
ไม่แต่เฉพาะกับเรื่องความปลอดภัยและการป้องกันอุบัติภัยให้นักศึกษาและบุคคลากรส่วนใหญ่ของมหาวิทยาลัยบนถนน “ตามแยกต่าง ๆ ภายในมหาวิทยาลัย” ที่พวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครชุดนี้..แมร่ง..ไม่เคยรู้สึก, ไม่เคยมีความเอาใจใส่..สนใจ, ไม่เคยอยู่ในหัว, และไม่เคยมีจิตสำนึกตอบสนองการพิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์และการบำรุงรักษาความผาสุกให้เกิดกับคนส่วนใหญ่ในองค์การของตนเอง..แล้ว..
บนถนนนอกมหาวิทยาลัย..อย่างเช่น ตรงบริเวณหน้าประตู 3 ในชั่วโมงเร่งด่วนเช้า-เย็น แทนที่จะบริหารจัดการให้เจ้าหน้าที่ รปภ.ของมหาวิทยาลัยไปช่วยดูแลการจราจรบนท้องถนนหลวงเป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอเหมือนกับที่ไปทำกันอยู่หน้าโรงเรียนวิถีธรรม..เพื่อดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้ทั้งบุคคลากรภายในของเราเองที่เข้า-ออกประตู 3 และถือเป็นการบริการสังคมส่วนรวมให้กับคนในชุมชนภายนอกจำนวนมากที่เดินทางผ่านแยกหน้าประตู 3..
แต่เปล่าเลย.. ไม่ได้ทำอะไรเลย..!!
ไม่มี “ความคิด” จากพวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยในเรื่องพวกนี้เลย..(ทีกับเรื่องแบบหน้าโรงเรียนวิถีธรรม..แม่ม !..กลับคิดทำโน่นทำนี่ได้ตลอด !!).. จึงไม่มีการบริหารจัดการอะไรเกี่ยวกับความพยายามในการป้องกันอุบัติภัยจากการจราจรอันหนาแน่นคับคั่งให้คนส่วนใหญ่ที่เดินทางเข้า-ออกและผ่านหน้าประตู 3 ในชั่วโมงเร่งด่วนได้รู้สึกว่า..พวกเขาได้รับการดูแลและคุ้มครองความปลอดภัยอย่างดีเยี่ยมจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยแล้ว..
ทั้ง ๆ ที่.. ตรงนั้นเป็นเหมือนหน้าบ้านตัวเอง..
แล้วตนเองก็มีทั้งโอกาสที่จะให้บริการสังคม และมีทั้งศักยภาพพอที่จะช่วยเหลือชุมชนตรงนั้น..โดยการส่งเจ้าหน้าที่ รปภ.ของมหาวิทยาลัยตัวเองไปช่วยดูแลอำนวยความสะดวก..เพื่อป้องกันอุบัติภัยจากการจราจรอันแสนจะคับคั่งและน่ากลัวตอนช่วงเช้ากับเย็นของแต่ละวันได้อย่างไม่เหลือบ่ากว่าแรงและลำบากลำบนอะไรเลย..,
หรือแม้กระทั่งจะติดต่อประสานขอให้มีการติดตั้งสัญญาณไฟจราจรบริเวณแยกหน้าประตู 3 นี้..จากส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง.. (แม้จะเป็นแบบกระพริบเตือน..ก็ยังดี..เพื่อให้รถบนถนนเลี่ยงเมืองที่ลงมาจากเนินและมาจากแยกบ้านธาตุจะได้เห็นมาแต่ไกลและระวังตัวชะลอไว้บ้างก่อนถึงแยกหน้าประตู 3)...,
หรือแม้กระทั่งจะติดต่อประสานขอให้มีตำรวจจราจรมาช่วยดูแลบริเวณแยกหน้าประตู 3 ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเช้าและเย็นของแต่ละวัน..(ขนาดระดับวิทยาลัยเทคนิค, ระดับโรงเรียนมัธยม, และระดับโรงเรียนประถมในจังหวัดสกลนครด้วยกัน เขาก็ยังทำเรื่องนี้กันทั้งนั้น.. แต่ผู้บริหารที่นี่..แม่ม !..มันไม่สนใจ..ไม่เคยคิดทำเรื่องนี้กัน.. ตัวเองเป็นถึงระดับมหาวิทยาลัย.. แต่..แม่ม..เอ๊ย !..ไม่รู้จักอับจักอายแม้กระทั่งระดับโรงเรียนประถมในเรื่องพวกนี้กันบ้างเลย..!!)
ส่วนจะประสาน, จะติดต่อ, จะขออนุญาตใคร, จะให้เจ้าหน้าที่ รปภ. ของเราทำร่วมกับใคร..หรือไม่..อย่างไร..? และจะมีขั้นตอนเกี่ยวข้องที่จำเป็นต้องทำในเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกหรือไม่..นั้น.. ก็เป็นรายละเอียดในเรื่องการบริหารจัดการที่เป็นหน้าที่พื้นฐานและเป็นงานที่ทำได้ง่าย ๆ ของสถาบันระดับขนาดนี้อยู่แล้ว
จึงไม่ใช่ข้อที่จะยกเอาเรื่องการอยู่นอกรั้วมหาวิทยาลัยของพื้นที่ถนนหน้าประตู 3 มาอ้างเป็นข้อจำกัดให้เป็นเหตุที่ไม่บริหารจัดการความปลอดภัยในเรื่องการจราจรให้กับชีวิตผู้คนส่วนใหญ่ทั้งบุคคลากรภายในและนอกมหาวิทยาลัยตรงบริเวณนั้น
ปัญหานี้จึงไม่ใช่อยู่ที่เรื่องอื่นใดที่พวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้ได้ชอบนำมากล่าวอ้างหรือกล่าวแก้ตัว
แต่ปัญหานี้มันอยู่ที่ “ใจ” และ “สมอง” ของพวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครชุดนี้..!!
เป็น.. “ใจ” ที่ไม่รู้ว่ามันทำด้วยอะไร ถึงทนเห็นสภาพที่เกิดขึ้นกับผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะกับนักศึกษาของตัวเองที่ใช้รถใช้ถนนด้วยความเสี่ยงอันตรายอย่างสูงบริเวณหน้าประตู 3 ได้ทุกวัน..!!
เป็น.. “สมอง” ที่ไม่รู้ว่ามันทำด้วยอะไร ถึงคิดไม่ออก คิดไม่เป็น คิดไม่ได้ และไม่คิดทำเรื่องการบริหารจัดการงานจราจรช่วงเช้าและเย็นบริเวณถนนหน้าประตู 3 เพื่อดูแลความปลอดภัยให้คนส่วนใหญ่..!!
เป็น.. “ใจ” และ “สมอง” ที่ไม่เลือกทำเรื่องการดูแลคนส่วนใหญ่จำนวนมากของมหาวิทยาลัยและชุมชน แต่กลับเลือกที่จะทำเรื่องการฟูมฟักคุ้มครองเฉพาะคน 20 คนแทน…
“ใจ” และ “สมอง” ของพวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยเช่นนี้ จึงทำให้เกิดภาพของการบริหารจัดการเรื่องการจราจรบริเวณหน้าประตู 3 ในชั่วโมงเร่งด่วนช่วงเช้ากับเย็นสำหรับคนหมู่มากนับร้อยนับพันนั้น.. เทียบไม่ได้เลยกับภาพการบริหารจัดการเรื่องการจราจรให้คนเพียง 20 คน..หน้าโรงเรียนวิถีธรรม..
ในขณะที่ภาพหนึ่งมีแต่ความเฉยเมยและเงียบเชียบ.. ไร้วี่แววของการมี Action ใด ๆ ที่จะเข้ามาเคลื่อนไหวจัดการให้เรื่องของคนเป็นร้อยเป็นพันมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และไม่ถูกปล่อยทิ้งให้เป็นไปเองตามยถากรรมอย่างไร้ความสนใจใยดีจากพวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้..
แต่อีกภาพกลับเป็นการทุ่มทุนสร้างอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา.. และอย่างทุ่มเทเอาเป็นเอาตายให้กับเรื่องของคน 20 คนอย่างเต็มที่และอย่างสุดจิตสุดใจของผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้..
ทั้ง ๆ ที่ ความเสี่ยงต่ออุบัติภัยและความเสี่ยงต่อชีวิตจากสภาพการจราจรที่เกิดขึ้นจริงบริเวณพื้นที่หน้าประตู 3 นั้น..สูงกว่าพื้นที่บริเวณหน้าโรงเรียนวิถีธรรมอย่างมาก.. มากจนไม่อาจเทียบกันได้..!!
เวลาที่ผมต้องเดินทางผ่านเข้า-ออกประตู 3 ของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้และได้เห็นสภาพตามที่กล่าวมาข้างต้นบริเวณด้านหน้านั้นทีไร ก็อดนึกคิดและรู้สึกไม่ได้ว่า..
คุณภาพชีวิตผู้คนในสายตาผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครโดยเฉพาะที่เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยซึ่งสัญจรเข้า-ออก และผ่านไปมาบนถนนทางหลวงบริเวณแยกหน้าประตู 3 ตลอดทั้งวันนั้น..ช่างเป็นคุณภาพชีวิตที่ต่ำเสียเหลือเกิน
แถมยังมีค่าต่ำกว่าคุณภาพชีวิตของผู้คนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณหน้าโรงเรียนวิถีธรรมในตอนเช้าประมาณ 1 ชั่วโมง และเย็นอีกประมาณ 1 ชั่วโมง..อย่างเทียบกันไม่ได้ในสายตาผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครชุดนี้..!!
การปฏิบัติต่อทั้ง 2 กลุ่มจากฝีมือการบริหารองค์การของผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้..มันจึงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง..
และผลของการปฏิบัติมันจึงออกมาต่างกันราวดินและฟ้า !!
และนี่หรือครับ..คือ “ความคิดอ่าน”..ของคนระดับ “ผู้บริหาร” ในสถาบันระดับ “อุดมศึกษา” ของไทย..ที่คิดอ่านเรื่องแบบกรณีต่าง ๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น..ไม่ได้..??
ช่างทำให้คนในสังคมรู้สึกดูถูก..ดูแคลนได้ดีแท้ว่า..
ในระบบของวงการอุดมศึกษาไทยนี้.. เขาใช้วิธี “จับฉลาก” ให้คนมาเป็นผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษากันหรืออย่างไร..??
เพราะการบริหารแบบไม่ต้องใช้ความคิดและสติปัญญาแยกแยะอะไรเลยแบบที่ผู้บริหารราชภัฏสกลนครทำอยู่ให้เห็นผลเป็นตัวอย่างจริงจนประจักษ์แจ้งแก่สายตาทุกคู่ของผู้คนอยู่ในขณะนี้..
ไม่ว่าจะเป็นในกรณีของยางชะลอความเร็วรถ,
กรณีการตีเส้นครอบครองยึดถนนสาธารณะไปเป็นพื้นที่จอดรถเฉพาะของโรงเรียนวิถีธรรมเสมือนเป็นสมบัติส่วนตัว,
และกรณีเอาเจ้าหน้าที่ รปภ. ของคนทั้งมหาวิทยาลัย มารับใช้ตนเอง..จนภาพออกมาดูเสมือนเป็น รปภ. ส่วนตัวของโรงเรียนตัวเอง..นั้น..,
ใคร ๆ มันก็ทำได้..!! ใคร ๆ มันก็ทำเป็น..!!
ขอให้มัน “จับฉลาก” เข้ามาเป็นผู้บริหารได้ก็พอ..
และการจับฉลากก็เป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากลำบากอะไรเลย ไม่ต้องใช้ความพยายามและวิธีการที่สลับซับซ้อนอะไร.. ใคร ๆ มันก็สามารถ “จับฉลาก” มาเป็นผู้บริหารกันได้ทั้งนั้น..ง่ายมาก..!!
ซึ่งถ้าอุดมศึกษาไทยเต็มไปด้วยบรรดา “ผู้บริหารมหาวิทยาลัย” ที่มีวิธีคิดแบบสิ้นคิด หรือคิดอะไรไม่ออก..คิดอะไรไม่เก่ง..ในเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่และต่ออนาคตที่ดีในระยะยาวของการพัฒนาองค์กร.. แต่จะคิดออกเฉพาะเรื่องการตอบสนองผลประโยชน์ส่วนตัวให้เฉพาะกับพรรคพวกบริวารและหวานใจในระบบอุปถัมภ์ของตนเท่านั้นเป็นหลัก..,
ทั้งยังไร้ "ภาวะความเป็นผู้นำ" (leadership) อย่างสุดจะเยียวยาแบบผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งแยกบ้านธาตุ สกลนคร.. ซึ่งได้บริหารมหาวิทยาลัยจากพื้นฐานความคิดและคุณลักษณะติดตัวที่แย่ ๆ ดังกล่าว จนทำให้เกิดผลลัพธ์ของจริงออกมาให้เห็นในหลายกรณีตัวอย่างที่เป็นผลงานของโรงเรียนวิถีธรรมตามที่เล่าไว้ข้างต้น..แล้ว…
ก็ต้องถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าและน่าเอนจอนาถต่ออนาคตการพัฒนาสังคมไทย..และการ “สร้างชาติ” ไทย..อย่างยิ่งครับ..!! l