วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตอนที่ 4 : ปฐมบท (4)

 

ตัวอย่างที่ 2

 

อีกตัวอย่างหนึ่งที่จะขอยกมาสนับสนุนให้เห็นชัดเจนในประเด็นของความแตกต่างในเรื่องความคิดที่สนใจตามสาขาอาชีพที่ไม่เหมือนกันของผู้คน…ต่อจากที่กล่าวเกริ่นไว้บ้างแล้วในตอนที่ 3 ที่ผ่านมา…

 

คือตัวอย่างจากภาพนี้ครับ...

 

SAM_1733 crop2

 

คนที่เข้าเน็ต (internet) ที่ไม่ใช่คนแถวแยกบ้านธาตุ จังหวัดสกลนคร แต่อยู่จังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศหรือทั่วโลก แล้วบังเอิญเพิ่งเปิดมาเจอบล็อกนี้ และได้มีโอกาสเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรก โดยไม่เคยเห็นสถานที่จริงของภาพนี้มาก่อน

 

คิดว่าส่วนใหญ่เขาจะนึกถึงอะไรกันครับ ??

 

SAM_1743 crop

 

จะมีใครสักคนที่เห็นภาพเหล่านี้…

แล้วคิดถึงสถานที่..ที่ถูกเรียกกันว่า “โรงเรียน” บ้างครับ ??..,

 

จะมีใครคนไหนสักเท่าไร…ที่บอกกับตัวเอง และคนอื่นอย่างมั่นอกมั่นใจในทันทีที่แรกเห็นภาพนี้ว่า…

“นี่คือภาพของ “โรงเรียน” หนึ่ง”..,

 

และจะมีใครสักกี่คนหนอที่ร้องอุทานออกมาในฉับพลันทันใดเมื่อเห็นภาพนี้ว่า

“อ๋อ..! นี่มันคือ “โรงเรียน” แน่ ๆ.. ไม่ใช่สถานที่อื่นใดเลย”  

หรือ

“อ๋อ..! นี่มัน “โรงเรียน” ชัด ๆ... มิพักต้องสงสัยเลย..!!

 

103_3817 crop2

 

ในความคิดคำนึงของคนทั่วประเทศและทั่วโลกเมื่อเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรกในบล็อกนี้ (ยกเว้นคนแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร ที่เคยเห็นภาพจริงจากสถานที่จริงมาแล้ว)…

จะมีแม้เพียงสักหนึ่งความคิดคำนึงไหม ?  ที่มีคำว่า “โรงเรียน” เข้ามาแผ้วพานให้นึกถึงอยู่ในห้วงความคิดคำนึงนั้น

 

และใน “สมอง” ของคนที่ไม่ต้องมีไอคิวสูงส่งมากมายเทียบเท่าระดับจีเนียสแบบของอัลเบิร์ต ไอสไตน์ อะไรเลยนั้น... จะมีสักกี่สมอง ? ที่จะคิดนึกเอาภาพข้างบนนี้ไปสัมพันธ์เชื่อมโยงกับภาพของสถานที่ที่คนทั่วโลกเรียกกันว่า “School” บ้าง..!!

 

จะมีก็อยู่แต่ที่ใน “มหาวิทยาลัย” แห่งหนึ่งในสังกัด “กระทรวงศึกษาธิการ” ของประเทศไทย ที่ตั้งอยู่แถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร

 

เป็นมหาวิทยาลัยที่มีคณะทางวิชาการศึกษาอย่าง “คณะครุศาสตร์”  ที่สังคมคาดหวังว่าจะ expert เรื่องที่เกี่ยวกับ “โรงเรียน” โดยตรง

และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีรากฐานมาจากการที่น่าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับ “โรงเรียน” โดยเฉพาะ

เพราะมีฐานะในอดีตมาจากการเป็น “โรงเรียนฝึกหัดครู” ที่มีจุดมุ่งหมายหลักอยู่ที่เรื่องของการจัดการศึกษาและผลิตครูให้โรงเรียนต่าง ๆ ของประเทศตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว

ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน..ที่มีการเปิดสอนวิชาการทาง “การศึกษา” นี้ถึงระดับ “ปริญญาเอก” ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เข้าไปแล้ว… 

 

 

ซึ่งมีจริง ๆ นะครับ ภาพข้างบนนั้นเป็น “โรงเรียน” จริง ๆ ครับ

ไม่ได้ล้อเล่นเลยครับ

 

SAM_1725 crop2

 

เป็นโรงเรียนที่มีชื่อว่า “โรงเรียนวิถีธรรม” ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กของ “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ที่เปิดรับเด็กเล็กจากครอบครัวทั้งที่อยู่ภายในและนอกมหาวิทยาลัยเข้ามาเรียน

 

และเป็นโรงเรียนที่มักทำให้ความคิดของผมสะดุดผุดขึ้นมาแทบทุกครั้งเมื่อต้องผ่านโรงเรียนแห่งนี้

 

ในขณะที่คนต่างสาขาอาชีพอย่างคนขายพวงมาลัย คนส่งวัว คนงาน คนขายนมเปรี้ยว ตำรวจจราจรแยกบ้านธาตุ นายธนาคาร นักธุรกิจ อธิบดี นายกเทศมนตรี ปลัดอำเภอ ฯลฯ (ที่เคยเขียนถึงในบล็อกตอนก่อนๆที่ผ่านมา) อาจจะเฉยๆ ไม่มีความคิดที่จะสนใจอะไรเมื่อผ่านโรงเรียนแห่งนี้ เพราะความคิดของพวกเขาอาจไปสนใจอยู่ที่เรื่องในสาขาอาชีพของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน

 

แต่ผมกลับสนใจ และความคิดต่อเรื่องนี้มักจะแล่นไปอย่างว่องไวทุกครั้งเมื่อสายตาไปปะทะกับ “รั้ว” ของโรงเรียนแห่งนี้ซึ่งเป็นด่านแรกที่จะสะดุดสายตาผู้ผ่านไปมาอย่างชัดเจนก่อนสิ่งอื่น

 

SAM_1741 crop

 

ซึ่งบังเอิญว่าเส้นทางการเดินทางไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของผมจากตำแหน่งที่ผมพำนักอยู่ต้องผ่านโรงเรียนแห่งนี้ทุกวัน

 

และผ่านทีไรก็อดสลดใจกับเด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ ที่จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญของชาติทดแทนคนรุ่นเก่าที่กำลังแก่ตัวลงและล้มหายตายจากสังคมนี้ไปไม่ได้ทุกครั้ง..เมื่อเห็นภาพเด็กน้อยเหล่านั้นเข้าไปอยู่ภายใน “รั้ว” แบบนี้

 

ยิ่งบางวัน ผ่านไปทันเห็นภาพที่พ่อแม่ผู้ปกครองหอบหิ้วกันเอาเจ้าแก้วตาดวงใจตัวน้อย ๆ นี้ลงจากรถเดินไปส่งเข้าโรงเรียนนี้ตอนเช้า ๆ ก็อดสะทกสะท้อนใจด้วยนึกสงสารและเห็นอกเห็นใจ ทั้งเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่ปรารถนาจะเลือกสรรแต่สิ่งดีๆให้ลูกน้อยไม่ได้

 

สะทกสะท้อนใจว่าเหมือนเป็นการส่งเด็ก ๆ ให้เดินเข้าไปใน “กรง” อะไรซักอย่างที่เป็นเสมือนกำแพงสูงท่วมหัวล้อมรอบกักขังลูกหลานตัวน้อย ๆ ของเราไว้ ทั้ง ๆ ที่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อยสุดที่รักแล้ว

 

มองเห็นทีไรเวลาเดินทางผ่าน ไม่เคยรู้สึกว่าเป็น “รั้ว” ของ “โรงเรียน” เลย

รู้สึกถึงแต่ความเป็น “กรง”

 

ยิ่งมองผ่านกรงกำแพงตาข่ายเหล็กอันสูงลิ่วเข้าไปข้างใน

และนึกวาดภาพเด็ก ๆ กำลังเล่นหรือเรียนรู้กันอยู่ตรงลานกลางแจ้งที่ถูกล้อมรอบทุกทิศทุกทางด้วยรั้วกรงกำแพงตาข่ายเหล็กที่ตั้งติดพื้นดินและสูงขึ้นไปจนท่วมหัวนี้แล้ว…

ก็ไม่เคยนึกเห็นภาพของความเป็น “โรงเรียน” ได้ซักที

 

ต่างจากเวลาที่ผ่านบางโรงเรียนธรรมดาสามัญทั่วไป เมื่อมองผ่านรั้วของโรงเรียนแห่งนั้นเข้าไปเห็นเด็ก ๆ กำลังเล่นอยู่ภายในรั้วของโรงเรียนนั้น

กลับรู้สึกได้ถึงความเป็น “โรงเรียน” ขึ้นมาอย่างอัติโนมัติจากผลของการมี “รั้ว” แบบธรรมชาติปกติทั่วไปของโรงเรียนแห่งนั้น ที่ไม่ทำให้การรับรู้ถึงความเป็น “โรงเรียน” ของสถานที่แห่งนั้นเบี่ยงเบนไปเป็นอื่น

 

แต่ของ “โรงเรียนวิถีธรรม” แห่ง “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” แห่งนี้ กลับทำให้รู้สึกได้ถึงการเป็นรั้วที่ “แปลกแยก” ไปจากรั้วตามธรรมชาติของโรงเรียนธรรมดาทั่วไปที่เคยพบเห็น

 

เวลามองผ่านลูกกรงตาข่ายเหล็กที่กั้นล้อมรอบเป็นกำแพงสูงลิ่วเข้าไปทีไรจึงไม่เคยเห็นความเป็น “โรงเรียน” ของสถานที่แห่งนี้ ต่อให้จะติดป้ายชื่อบอกว่าเป็นโรงเรียนไว้ข้างหน้าก็ตามที

 

ไม่เชื่อ..ลองหลับตา...

 

แล้วนึกจินตนาการ หรือ นึกถึงภาพโรงเรียนต่าง ๆ ว่ามีโรงรียนแห่งไหน..อยู่ที่ใด..ที่มีรั้วแบบของโรงเรียนที่อยู่ใน “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” แห่งนี้บ้าง

 

หรือจินตนาการดูว่าเคยเห็นภาพรั้วลักษณะกรงตาข่ายเหล็กที่ล้อมรอบเป็นกำแพงสูงท่วมหัวแบบของ โรงเรียนวิถีธรรมแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร นี้อยู่คู่กับหน่วยงานแบบใดบ้าง ?

 

หรือเป็นภาพที่สัมพันธ์กับสถานที่แบบใดบ้าง ?

 

แล้วในจินตนาการนั้น มีภาพของสถานที่ที่ถูกเรียกขานกันว่า “โรงเรียน”

บ้างหรือไม่ ?

 

ผมคิดว่า ในความคุ้นชินและการรับรู้ (perception) ของผู้คนมายาวนานนั้น คงจะมีก็แต่ภาพของหน่วยงานหรือสถานที่ต่อไปนี้...ที่เห็นสัมพันธ์คู่กับกรงกำแพงรั้วตาข่ายเหล็กซึ่งมีความสูงตั้งแต่พื้นดินจนท่วมหัวแบบนี้

 

อาทิ….

 

1. สถานที่ ที่เรียกกันว่า สนามกีฬากลางแจ้ง บางประเภท

 12059429911205943202

 

 

2. สถานที่ ที่เรียกกันว่า ห้างขายสินค้าประเภท Super Store หรือห้างประเภท Modern Trade ต่างๆ

 

รั้วตาข่าย แม็คโคร  4-2-2554 12-59-28 crop1รั้วตาข่าย โลตัส 4-2-2554 13-08-11 crop2

 รั้วตาข่าย โลตัส 4-2-2554 13-03-23 crop1 รั้วตาข่าย โลตัส 4-2-2554 13-03-23 crop 2

 

อันนี้ของ makro สกลนคร ครับ

 

SAM_0704 cropSAM_0702 crop2

 

และนี่ของ Lotus สกลนคร ครับ

 

SAM_0699 cropSAM_0590 crop

 

 

 

3. สถานที่ ที่เรียกกันว่า สวนสัตว์ (Zoo)

 

11538642007-10-21_233912_Resize_of_Image071

 

64032k19

 

ผมให้ Link เข้าไปดูชัด ๆ โดยตรงในเว็บกันเองนะครับ

ยังมีตัวอย่างเพิ่มเติมให้ดูอีกเยอะครับ

 

ซ้ายบน คือ สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ (สวนสัตว์เปิดเขาค้อ)

http://travel.sanook.com/gallery/galleryws/666021/1153864/

 

ขวาบน คือ สวนสัตว์พาต้า ของห้างพาต้า ปิ่นเกล้า กรุงเทพมหานคร

http://www.ladysquare.com/forum_posts.asp?TID=15169

 

ซ้ายล่าง คือ สวนสัตว์โคราช  จ.นครราชสีมา

http://www.rd1677.com/rd_korat/top_korat.php?id=64032

 

ขวาล่าง คือ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี

http://ching-ching.exteen.com/20081001/entry

 

 

(ยังมีอีกหลายแห่งครับนอกจากตัวอย่างข้างต้นแล้ว ลอง search เข้าไปดูเพิ่มเติมในเน็ตเองเลยครับ มีตัวอย่างให้เห็นอีกมากมายเยอะแยะ ดูกันไม่หวาดไม่ไหว)

 

 

 

4. อื่น ๆ (ที่อาจจะมีท่านอื่นๆนึกออกและเคยเห็นตัวอย่างให้นึกถึงอีกมากกว่า 3 สถานที่ข้างต้น) เช่น หน่วยงานราชการบางแห่งที่ผมเคยเห็น แต่เป็นแบบทรงเตี้ยที่ไม่สูงท่วมหัว

 

SAM_1330 crop

 

แต่ผมไม่รู้สึกว่าแบบนี้มันจะดีเท่าไรนักหรอกครับ เมื่อเทียบกับความเป็นหน่วยงานระดับนี้ที่มีทั้งโอกาสและทางเลือกตั้งมากมายหลากหลายมากกว่าชาวบ้านทั่วไปตั้งหลายเท่าที่จะสร้างสรรค์งานแบบอื่น ๆ ที่ดี และเหมาะสมกว่านี้..

ให้เป็นตัวอย่าง..เป็นแบบอย่างและเป็นการสร้างศรัทธาต่อหน่วยงานแก่ชาวบ้านเขา..ยามที่เขาอยากมาศึกษาเรียนรู้ดูงานเพื่อจำแบบเอาไปใช้งานหรือเลียนแบบหรือประยุกต์ดัดแปลงทำตามที่บ้านของเขาบ้าง

 

ผมคิดว่าบางหน่วยงานอาจเอาง่ายเข้าว่ามากกว่า เหมือนรีบ ๆ ทำ รีบใช้งบฯ แล้วแต่ผู้รับเหมาจะคิดหา..จะจัดอะไรให้ก็เอาทั้งนั้น

แล้วก็มีคำตอบกับคนอื่นไว้ป้องกันตัวเองคล้าย ๆ กันจนเป็นคำตอบสำเร็จรูปที่ท่องเตรียมไว้ตอบชาวบ้านจนจำได้ขึ้นใจ..ว่า.. “งบฯน้อย”

 

ทั้งที่จริงแล้ว ตนเองชอบแต่จะฝากการใช้ “ความคิด” ให้ไปอยู่ที่ผู้รับเหมา หรือคนอื่น ๆ ที่เป็นใครก็ไม่รู้ซักคนหนึ่ง จึงชอบทำกันแบบไม่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและรสนิยมอะไรให้สมกับระดับที่เป็นถึงหน่วยงานและสถานที่ของทางการเลย

ทั้งยังขาดการใช้ความคิดอ่านในเรื่องการดีไซน์และเรื่องของการมีสไตล์ต่องานพวกนี้ด้วยอย่างมาก เหมือนมีวัตถุประสงค์อยู่ที่เรื่องอื่นเป็นหลักตามที่รู้ ๆ กันอยู่มายาวนานในสังคมไทย แต่ไม่ใช่อยู่ที่ความปรารถนาให้บังเกิดผลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแก่หน่วยงานที่ตัวเองมาอยู่

 

ลักษณะผลงานส่วนใหญ่จึงปรากฎออกมาให้เห็นภายใต้แนวคิดหรือคอนเซ็ปต์ที่ผมขอเรียกว่า คอนเซ็ปต์ “ไม่ใช่บ้านกู” เหมือน ๆ กันหมดในหลายหน่วยงานราชการ

 

 

เมื่อได้เห็นตัวอย่างของสถานที่ทั้ง 4 สถานที่ข้างต้นเป็นเบื้องต้นในความเกี่ยวโยงสัมพันธ์อยู่คู่กับการใช้กรงกำแพงรั้วตาข่ายเหล็กดังที่เห็น และถูกรับรู้จากคนทั่วไปส่วนใหญ่มายาวนานแล้ว…

สำหรับผม จึงสรุปกับตัวเองได้ว่า “รั้ว” แบบของ โรงเรียนวิถีธรรมแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ที่มีลักษณะตามที่เห็นในปัจจุบันนี้นั้น ไม่เคยอยู่ในการรับรู้มาก่อนว่าเป็นรั้วแบบที่ใช้คู่กับสถานที่..ที่เรียกกันว่า “โรงเรียน”

 

103_0515 crop2

 

ทั้งยังนึกไม่ออกว่ารั้วสไตล์แบบนี้เคยมีอยู่คู่กับคำว่า “โรงเรียน” อะไร ?

และที่ไหนบ้าง ?

นอกจากอยู่ตามสถานที่ 4 ประเภทข้างต้นเท่าที่ผมจะนึกออกได้ในตอนนี้

 

นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมเห็น “รั้ว” แบบนี้ ถูกนำมาสัมพันธ์ เชื่อมโยง และใช้คู่อยู่กับคำว่า “โรงเรียน” ทั้งยังเป็นโรงเรียนระดับ “วิถี” แห่ง “ธรรม” ด้วย

 

ความจริง ต้องสารภาพว่า เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ ผมอดรู้สึกขบขันกับตัวเองไม่ได้

แค่นึกถึงความเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันระหว่าง “รั้ว” แบบนี้ กับคำว่า “โรงเรียน” ก็ทำให้นึกขันจนต้องนั่งอมยิ้มแล้ว

 

ยิ่งตอนผมเขียนมาถึงคำว่า “วิถี” เอย.. คำว่า “ธรรม” เอย..

ก็ยิ่งรู้สึกตลบขบขันจนอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาเล็กน้อย !

 

เพราะความคิดผมมันดันไถลไปนึกเชื่อมโยงเอาภาพแรกที่เป็น “รั้ว” แบบกรงตาข่ายเหล็กสูงลิบลิ่วของโรงเรียนแห่งนี้…

เข้าไปสัมพันธ์กับภาพที่สองที่เป็นป้ายชื่อโรงเรียนซึ่งเน้นไปที่คำว่า “ธรรม” แถมพ่วงด้วยคำว่า “วิถี” ตามชื่อโรงเรียนนั่นเองครับ

 

SAM_1873 crop103_1272 crop2

 

ยิ่งคิด ยิ่งนึกภาพในใจถึงการสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่าง “รั้ว” กับ “ชื่อ” ของโรงเรียนแห่งมหาวิทยาลัยนี้แล้ว ก็ยิ่งทำให้ทั้งขบขันทั้งงุนงงกับความสัมพันธ์เชื่อมโยงแบบนี้ของมันจริงๆ ว่า เออ..คงไปกันได้และเข้ากันได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนดีนะ..กับการจะนำพาอนาคตของเด็ก ๆ โรงเรียนนี้ไปสู่จุดมุ่งหมายตามปรัชญาของโรงเรียนที่อุตส่าห์โฆษณาไปทั่ว..

 

ในเมื่อลักษณะตามแบบที่เห็นอยู่ในปัจจุบันของอันแรก (รั้ว) ได้สื่อถึงการไร้อิสรภาพและการควบคุมกักขัง (ยิ่งอยู่ในรั้วแบบนี้นาน ก็เหมือนถูกกักขังนาน)

ในขณะที่อันหลัง (วิถีธรรม) ได้สื่อถึงเส้นทางแห่งเสรีภาพ, การเดินทางไปสู่อิสรภาพ...สู่ความหลุดพ้น

 

หรือคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้..ที่ทำ “รั้ว” ให้เด็ก ๆ ออกมาสไตล์แบบนี้ รู้จักกับคำว่า “ธรรม” ในคนละความหมายกับที่ผมเคยรู้จัก

หรือรู้จักที่มาของคำ ๆ นี้จากคนละสำนักกันกับผม

 

ผมจะได้ทราบไว้เป็นความรู้ใหม่ว่า “ธรรม” และ “วิถีธรรม” ในความหมายของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ คือการขาดเสรีภาพ, การกักขังบังคับควบคุม, การดำเนินชีวิตเพื่อนำไปสู่การสูญเสียอิสรภาพ, และความไม่มีอิสระที่จะนำชีวิตไปสู่ความหลุดพ้น

ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงต้องสร้าง “รั้ว” แบบนี้ให้มีลักษณะที่สอดคล้องต้องกันกับความหมายของคำว่า “วิถีธรรม” ตามที่มหาวิทยาลัยนิยามเองข้างต้น....

 

ซึ่งถ้าจะเอากันแบบนี้ จะกำหนดนิยามความหมายกันเอง..แล้วสื่อสารแสดงความหมายที่นิยามเองนี้ผ่านออกมาทาง “รั้ว” ให้ปรากฎในสไตล์แบบที่เห็นอยู่ทุกวันนี้… ก็ไม่มีใครไปว่าอะไรได้…

 

แต่จะให้คนหลายๆคนที่เขาพอรู้จักและรู้เรื่องนี้ดีอยู่บ้าง ไปยอมรับนิยามและคล้อยตามความหมายคำว่า “วิถีธรรม” ที่แสดงออกมาเป็น “รั้ว” แบบนี้...

เห็นจะยากครับ !!

 

มีแต่เขาจะเศร้าใจกับเด็ก ๆ ผู้ใสสะอาดบริสุทธิ์ที่ต้องมาถูกเลี้ยงดูให้เติบโตภายในสภาพแวดล้อมที่เหมือนถูกกักขังอยู่ในกรงรั้วแบบของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้

และมีแต่เขาจะยิ้มหัวขบขันกับมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้..ที่ช่างทำผลงานอะไรออกมาได้ปานประหนึ่งเด็กเล่นขายของอย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นถึงระดับ “มหาวิทยาลัย” ที่ก่อตั้งมานานขนาดนี้แล้ว จะ “คิด” และ “ทำ” เรื่องพื้น ๆ ง่าย ๆ แบบนี้..ไม่ได้..และไม่เป็น..!!

 

ซึ่งคงต้องอธิบายขยายความรายละเอียดประเด็นนี้เพิ่มเติมอีกครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมขบขันกับเรื่องนี้แบบไม่มีเหตุผล

แต่ขอเป็นตอนหน้านะครับ ผมจะเขียนสะท้อนความคิดของผมที่มีต่อ “รั้ว” กรงตาข่ายเหล็กที่ล้อมรอบเป็นกำแพงสูงท่วมหัวในสไตล์แบบของ “โรงเรียนวิถีธรรมแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” แห่งนี้ในประเด็นเพิ่มเติมจากตอนนี้โดยเฉพาะ

เพราะตอนนี้ยังอยู่ในตอน “ปฐมบท” อยู่... การพูดถึงเรื่อง “รั้ว” ตรงนี้..ก็แค่ต้องการยกมาเป็นตัวอย่างเพื่ออธิบายขยายความเนื้อหาในส่วนปฐมบทของการเขียนบล็อกนี้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ตอนที่ 1 เป็นต้นมาจนถึงตอนนี้

 

  

 

ท้ายที่สุดของตอนนี้... อยากสรุปและอยากบอกว่า...

 

“แยกบ้านธาตุ” สำหรับผม จึงเป็นแยกทางความคิดที่ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับผู้คน, สังคม, การศึกษา, วิชาการ

ซึ่งผมตั้งใจว่าจะนำความคิดที่ผมได้เรียนรู้นี้มาเสนอถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังต่อไปเรื่อย ๆ ในบล็อกนี้

และ “แยกบ้านธาตุ” สำหรับผม จึงเป็นแยกเชิงสัญลักษณ์ที่ผมจะใช้สื่อสารความคิดเชิงปรัชญาชีวิต สังคม และการศึกษา..ผ่านแยกนี้..เป็นระยะ ๆ..ไปเรื่อย ๆ

 

“แยกบ้านธาตุ” ในบล็อกนี้จึงไม่ใช่แยกในความหมายทางกายภาพที่ชวนให้นึกถึงการคมนาคม การขนส่ง การเดินทางสัญจร

หรือการหยุดรอสัญญาณไฟเขียว-ไฟแดงเพื่อเดินรถผ่านไปสู่สถานที่ตำแหน่งเป้าหมาย

และจะไม่ใช่แยกในความหมายของการท่องเที่ยว หรือเกี่ยวกับสภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ใด ๆ ของแยกนี้ ฯลฯ

 

แต่จะเป็นแยกในความหมายของความคิดอิสระเกี่ยวกับเรื่องที่ผมสนใจเฉพาะเรื่องดังที่กล่าวมาข้างต้น

 

 

ถามว่า... เมื่อคิดแล้ว ทำไมไม่เก็บเงียบไว้..

และอยู่เฉยๆ...??

 

ตอบสั้น ๆ... (ส่วนตอบยาวๆ จะเขียนให้อ่านภายหลังในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง)....

ตรงนี้ก่อนว่า.....

 

1.  เพื่อให้ความคิดนั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อผู้คน ต่อชาติบ้านเมืองบ้าง แม้จะเป็นประโยชน์เพียงส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ที่จะเกิดขึ้น..ก็ยังดี

 

2.  เพื่อการทำ “หน้าที่” ของ “มนุษย์” ที่ได้มีโอกาสเกิดมาแล้วในชาตินี้…
สำหรับผมแล้ว..การเก็บเงียบความคิดไว้และอยู่เฉยๆโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรกับสังคม จึงไม่ถือเป็นการทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์งดงามของชีวิตที่เกิดมา…
แต่ถือเป็นการเสียชาติเกิด

 

3.  และ เพราะโดยอาชีพผม เป็นอาชีพที่สังคมเรียกขานและรู้จักกันในชื่อว่า..
“นักวิชาการ” ซึ่งต้องมีหน้าที่ผลิต สร้างสรรค์ ถ่ายทอดเผยแพร่ผลงานและความคิดทางวิชาการที่เป็นประโยชน์และเป็นคำตอบให้กับสังคมอยู่แล้ว
ไมใช่คิดแล้วเก็บไว้ ดังที่จะเห็นการเผยแพร่ความคิดของคนในแวดวงวิชาการชั้นนำตามสื่อแบบดั้งเดิม เช่น ตามหน้าหนังสือพิมพ์และตามวารสาร นิตยสารต่าง ๆ มาช้านาน 

 

ตัวอย่าง เรื่อง “โรงเรียนวิถีธรรม” ข้างต้น…

 

ถ้าผมคิดถึงประเด็นต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น เรื่อง “รั้ว” ของโรงเรียนนี้ที่ดูไม่เหมือนรั้วของสถานที่ที่เรียกขานกันว่า “โรงเรียน”

และไม่น่าจะเหมาะสมหรือไม่น่าจะเอื้อต่อคุณภาพการเติบโตของเด็กๆตามนัยแห่งความหมายของคำว่า “วิถีธรรม”

 

SAM_1165 crop

 

แล้วผมก็เก็บเงียบความคิดนี้ไว้

 

ถามว่าสังคมจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ?

 

ผมคิดว่า..เปล่าเลย

ซ้ำร้ายก็จะปล่อยให้เกิดการผลิตซ้ำทำแบบเดิมกับงานประเภทอื่น ๆ หรือโครงการต่าง ๆ อีกหลายชนิดหลายรูปแบบของมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้ลึกซึ้งมาก

และขาดความรับผิดชอบต่อเด็ก ๆ และพ่อแม่ของเด็ก ๆ ในการทำงานหรือโครงการต่างๆที่ต้องเกี่ยวข้องกับการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมต่อคุณภาพการเติบโตของเด็ก ๆ ในโรงเรียนแห่งนี้ไปเรื่อย ๆ

 

แต่อย่างน้อย เมื่อความคิดนี้ไม่ถูกเก็บเงียบไว้ แต่ถูกบันทึกให้เผยแพร่ปรากฎบนโลกไซเบอร์  ผู้คนส่วนต่าง ๆ ในสังคมก็จะมีโอกาสรับรู้และเข้าถึงความคิดที่ถูกเผยแพร่นำเสนอนี้ได้

โดยเฉพาะกลุ่มที่ใกล้ชิดเกี่ยวข้องที่สุด อย่างเช่น กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก ๆ 

หรือกลุ่มที่กำลังมีโครงการที่จะทำโรงเรียนสำหรับเด็ก ๆ ในอนาคตตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศที่กำลังศึกษาดูงานเรื่องนี้อยู่ ทั้งจากของจริงและจากอินเทอร์เน็ต

อาจจะได้เข้ามาดูตัวอย่างว่ามีรูปแบบรั้วลักษณะนี้สำหรับโรงเรียนของเด็กเล็กเกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้จริง และยังได้ดูว่ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องรั้วแบบนี้แสดงไว้ที่บล็อก “แยกบ้านธาตุ” แห่งนี้ไว้เช่นไรบ้าง

 

แล้วหลังจากนั้น ก็จะได้หยุดคิด ตั้งสติ ระลึกให้ได้ว่า...

 

จะเห็นแก่ตัว(เอง)… หรือ จะเห็นแก่(ตัว)ลูก...หลาน

 

ถ้าเลือกที่จะเห็นแก่ตัว(เอง) และนึกถึงเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็ตีโพยตีพาย ขุ่นเคือง แผ่โทสะจริตเข้าใส่ทั้งคนสร้างรั้วแบบนี้ให้ลูกหลานตน ทั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่ไม่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติงานภายในองค์การจนปล่อยให้มีผลงานแบบรั้วนี้ออกมา

และท้ายสุดก็พุ่งโทสะเข้าใส่คนเขียนแสดงความคิดเห็นในบล็อกนี้ว่า..

ไม่น่ามาทักเรื่องนี้กันเลย ทำให้ตนต้องเสียหน้าและอับอายเพื่อนบ้านเพราะกลัวถูกล้อว่าส่งให้ลูกมา “โรงเรียน” หรือมา “สนามกีฬากลางแจ้ง” หรือ “ลานจอดรถของห้างแม็คโคร โลตัส” หรือ “สวนสัตว์” กันแน่ เป็นต้น

 

สังเกตดูว่า มีแต่เรื่องของ “ตนเอง” ให้นึกถึงก่อนทั้งนั้น ยังไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องของ “ลูก” และ “หลาน” เลย

 

SAM_1744 crop

 

แต่ถ้าเลือกที่จะเห็นแก่(ตัว)ลูกหลาน เอาตัวลูกหลานเป็นตัวตั้ง และถือว่าเขาเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของพ่อแม่ที่จะคิดถึงการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เขาก่อนเป็นอันดับแรกแล้ว

เวลาที่จะหมดไปกับความขุ่นเคืองด้วยโทสะและโมหะจริตดังข้างต้น ก็ควรจะหมดไปกับการถกเถียง, การแลกเปลี่ยน, การ disscuss, การเสวนา, การสัมมนา ในประเด็นต่างๆของเรื่องนี้แทน

เช่น ประเด็น ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร, หรือ มันจะดีหรือไม่ดีกับลูกเราอย่างไรทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของการเติบโต, หรือ จะเป็นประโยชน์มากหรือเป็นประโยชน์น้อยต่อลูกหลานเราอย่างไร, หรือ มีทางเลือกอื่นๆนอกจากทางเลือกด้วยรั้วแบบที่เห็นขณะนี้อีกบ้างหรือไม่ ? เป็นต้น

 

เพื่ออะไร ?

ก็เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดให้เด็กๆลูกหลานไทย (ไม่ใช่แต่เฉพาะลูกหลานของ “สกลนคร”) ตรงตามความหมายที่แท้จริงของคำว่า “วิถีธรรม”

 

ในที่สุดถ้าได้ข้อสรุปว่า…

รั้วสไตล์แบบที่เห็นและเป็นอยู่นี้ โอเคแล้ว เหมาะแล้ว ดีแล้ว และนี่คือนวัตกรรมรั้วในสไตล์ที่สุดยอดที่สุดตามวิถีแห่ง “ธรรม” แล้ว..

ก็จบ...!!

 

ถึงตอนนี้จะหันมามีโทสะหรือโมโหขุ่นเคืองเข้าใส่คนที่แสดงความคิดต่อเรื่องนี้อย่างผม ก็คงไม่สาย เอาแบบเต็มที่ได้เลยครับ ผมรับได้อยู่แล้ว เพราะผมถือว่าผมได้ทำหน้าที่คิดแล้วเขียน และก็หมดหน้าที่แล้ว

อย่างอื่นที่เหลือผมจะเฉยๆ...ไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไรกับมันเลย จะทำอะไรกันต่อก็สุดแท้แต่ทางเลือกและการตัดสินใจของคนอื่นๆที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้กันเองครับ ไม่ใช่หน้าที่ผมแล้ว

 

จะตัดสินใจเลือกแบบใด ใครก็บังคับกันไม่ได้..!

 

จะเลือกตามข้อสรุปแรกว่า รั้วโรงเรียนสไตล์แบบนี้นี่แหละสุดยอดแล้ว.. โอ..วาว....มันยอดมาก… โอเคแล้ว เหมาะกับลูกเราที่สุดแล้ว..

ก็ไม่มีใครว่า !

ก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป..

ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ของเราเติบโตอยู่ภายใต้การซึมซับและประทับภาพกรงตาข่ายสูงท่วมหัวรอบข้างตัวเขาเข้าไปอยู่ในดวงใจน้อย ๆ

และซึมลึกลงเข้าไปแฝงฝังอยู่ใต้จิตสำนึกของเขาต่อไปเรื่อย ๆ 

ด้วยความเคยชินที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..และยาวนาน…นับปี !

 

และถ้าจะให้ดี เมื่อมั่นใจในข้อสรุปนี้แล้ว

ก็ควรถือโอกาสทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วประเทศ รวมทั้งหน่วยงาน องค์การ สถาบันต่างๆ ได้รับรู้และชักชวนมาศึกษาดูงานรั้วโรงเรียนสไตล์นี้กันให้เอิกเกริกเต็มที่....

ให้ไว..!! อย่าช้า..!!

 

102_9263 crop

 

เพราะเมื่อมั่นใจว่าเป็นของดี ก็ควรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตีฆ้องร้องป่าว เพื่อประกาศให้คนอื่นรับรู้ เขาจะได้มาดูแบบแล้วเอาไปทำตามบ้าง

โรงเรียนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็พลอยจะได้ชื่อเสียงไปด้วยว่าเป็นต้นแบบให้คนอื่นมาดูงานและรับเอารูปแบบรั้วสไตล์ของโรงเรียนตนไปทำตามกันทั่วประเทศ

 

แต่ถ้าในที่สุด ได้ข้อสรุปที่เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับข้อสรุปแรกข้างต้นว่า ไม่โอเคกับรั้วสไตล์แบบนี้ เพราะโดยหลักการแล้วไม่ควรจะยอมรับให้อยู่คู่กับโรงเรียนที่ดำเนินการตามแนวทางปรัชญา “วิถีธรรม” ที่ถูกต้องแท้จริงได้

 

ที่จะตามมา ก็คงเป็นการร่วมกันหาหนทางแก้ไข ซึ่งอาจจะอยู่ที่ระดับส่วนรวม หรือส่วนตัว ก็แล้วแต่กรณี แล้วแต่สถานการณ์

 

บางครั้งการแก้ไขที่ระดับส่วนรวมอาจทำได้ยาก เพราะอาจไปติดขัดกับอุปสรรคในระดับนั้นหลายอย่าง เช่น

 

1. คนทำและคนอนุมัติให้ทำ กลัวเสียหน้า..ถ้าจะต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขผลงานของตน และไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองทำผิดพลาด ด้วยกลัวคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองมือไม่ถึง และไม่เก่งจริง

 

โดยเฉพาะคนในระบบราชการ ทั้งคนทำ และคนอนุมัติ คือตัวผู้บริหารที่ควบคุมดูแลบังคับบัญชาสูงสุดในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มักกลัวการเสียหน้าตัวเองมากกว่ากลัวเสียประโยชน์ของคนอื่นอย่างเด็ก ๆ และพ่อแม่ของเด็ก ๆ ในกรณีนี้

 

(ซึ่งแลเห็นได้ชัดแจ้งว่า คนที่คิดถึงแต่หน้าตัวเองมากกว่าผลเสียที่จะเกิดกับคนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะเกิดกับเด็ก ๆ ด้วยแล้ว จะถือว่าเป็นคนมี “ธรรม” ได้ตรงไหนกัน ?? แล้วจะมาทำโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนที่อุดมไปด้วย “ธรรม” และอยู่ใน “วิถีแห่งธรรม” ได้จริงล่ะหรือ..??)

 102_9058

 

หรือ...

 

2. หมดเงินไปเยอะแล้ว จะแก้ไขก็ต้องเสียเงินอีกมาก ไหนจะกลัวคนด่าตามหลังอีกว่า เป็นตัวผลาญเงินผลาญทองของมหาวิทยาลัยให้ละลายสูญหายอย่างไร้ประโยชน์ถ้าต้องแก้ไขทำใหม่ซ้ำซากอยู่เรื่อย

 

 

ดังนั้น ถ้าได้พยายามจนถึงที่สุดแล้ว พบว่าการแก้ไขปัญหานี้ในระดับส่วนรวมต้องถึงทางตันด้วยอุปสรรคดังเช่น 2 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น ผมคิดว่าแต่ละคนก็ต้องกลับมาเลือกที่การแก้ไขในระดับส่วนตัวกันเองตามสะดวก

 

ส่วนจะทำเช่นไร ย่อมแล้วแต่ทางเลือกที่มีอยู่และข้อจำกัดของแต่ละคน ซึ่งย่อมมีปัจจัยและตัวแปรแวดล้อมต่าง ๆ ของชีวิตที่ไม่เหมือนกัน

เช่น บางคนก็พอมีทางเลือกที่จะย้ายโรงเรียนหรือหาโรงเรียนใหม่ที่มีสภาพแวดล้อมภายนอกดีกว่าให้ลูกได้

พร้อมทั้งอาจบอกปากต่อปากเชิงแนะนำให้ญาติมิตรพี่น้องหรือคนรู้จัก ไม่ให้ส่งลูกหลานรุ่นใหม่มาเข้าเรียนที่โรงเรียนที่มีสภาพรั้วแบบนี้ในปีต่อ ๆไป (ย้ำว่ากำลังพูดถึงกลุ่มที่เลือกข้อสรุปว่ารั้วแบบนี้ไม่โอเคและไม่สามารถจะยอมรับให้มันมาล้อมขังลูกตัวเองอีกต่อไปนะครับ)

 

ในขณะที่บางคนอาจไม่มีทางเลือกและความพร้อมมากพอ ก็จำเป็นต้องให้ลูกอยู่ต่อ แล้วก็หาทางอื่นมาช่วยบรรเทา

เช่น อาจต้องสอนหรือแนะนำปลูกฝังลูกเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อไม่ให้ลูกเคยชินกับการรับเอาความรู้สึกที่เสมือนถูกกักขัง..สิ้นอิสรภาพ… 

และซึมซับเอาความแห้งแล้งแข็งกระด้างจากรั้วของโรงเรียนแห่งนี้ประทับฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเขาตั้งแต่เยาว์วัยด้วยความคุ้นชินที่เห็นมันทุกวัน  เป็นต้น

 

SAM_1717SAM_1742

 

ถึงที่สุด..สำหรับคนที่เลือกข้อสรุปแบบที่สอง

(ที่บอกว่ารั้วแบบนี้ไม่โอเค ไม่เหมาะ และไม่ดีพอสำหรับเด็ก ๆ)

 

ถ้าจำเป็นต้องให้ลูกอยู่ต่อและหมดทางเลือกที่จะผลักดันให้มีการแก้ปัญหานี้แล้วจริง ๆ ก็คือ..การทำใจครับ…

 

แล้วตัดใจกลับไปเลือกข้อสรุปแรก (ที่บอกว่ารั้วนี้โอเคและสุดยอด เหมาะที่สุดกับเด็กๆแล้ว)

เพื่อว่าอย่างน้อยจะได้มีสิ่งช่วยปลอบประโลมใจตัวเองให้สบายใจขึ้นมาได้บ้างครับ

 

นี่อาจเป็นคำแนะนำที่ไม่ดีนัก ผมทราบดีครับ

 

แต่จะให้ทำอะไรไปได้มากกว่านี้เล่าครับ

เมื่อคุณต้องมาเจอกับผู้บริหารมหาวิทยาลัย และทีมงานในระบบอุปถัมภ์ (patronage system) ที่มีลักษณะแบบนี้ !!

 

 

ในที่สุด..ก็คงจะเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า การนำไปสู่ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์เพื่อเด็ก ๆ นี้ (ไม่ว่ากลุ่มไหนจะเลือกการสรุปแบบไหน) จะไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าความคิดของผมและรวมถึงคนอื่น ๆ ถูกเก็บเงียบไว้ไม่ให้สังคมร่วมกันรับรู้

 

เหมือนกับตัวอย่างในบล็อกตอนที่แล้วเช่นกัน ถ้าไม่คิดดัง ๆ เก็บเงียบไว้ จะมีการเปลี่ยนป้ายหน้ามหาวิทยาลัยให้เหมาะสมขึ้นตามที่เห็นในปัจจุบัน ณ วันที่โพสท์บล็อกตอนนี้หรือ ?

(ย้อนกลับไปดูรายละเอียดในเรื่องนี้ได้จากบล็อกตอนที่แล้วครับ)

 

SAM_1883. cropjpg

 

คนที่อื่นทั่วไป หรือ ชาวราชภัฏอื่น ๆ ทั่วประเทศ…อาจสงสัยและไม่มั่นใจว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้จะเปลี่ยนป้ายเพราะมีคนคิดและบอกกล่าวเรื่องแบบนี้ให้สังคมได้รับทราบผ่านบล็อกในตอนที่แล้ว

เพราะมหาวิทยาลัยเขาอาจคิดกันได้เองและเปลี่ยนป้ายเอง ถึงแม้เขาอาจคิดช้าไปนานเป็นเวลาถึง 8-9 เดือน ตั้งแต่เดือนต้อนรับ Freshy ที่อยู่แถวพฤษภา-มิถุนา 53 จนมาถึงปลายมกรา-ต่อต้นกุมภา 54 จึงค่อยเปลี่ยน

 

SAM_1158

 

แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่า คนแถวแยกบ้านธาตุที่รู้ฝีมือการทำงานของผู้รับผิดชอบมหาวิทยาลัยแห่งนี้กันดี และรู้เช่นเห็นชาติในนิสัยสันดานการทำงานด้านนี้กันมายาวนานนั้น

ต่างไม่มีใครเชื่อถือ..ให้เครดิตคนรับผิดชอบบริหารงานมหาวิทยาลัยนี้ในข้อที่ว่าจะคิดออกและเอาใจใส่เปลี่ยนป้ายเอง ถ้าไม่เกิดมาจากความคิดที่เผยแพร่ผ่านบล็อกนี้ให้สังคมส่วนรวมรับรู้ในตอนที่ 3 ที่ผ่านมา…

 

ไม่งั้น… (ขอโทษนะครับ)… มันเปลี่ยนไปนานแล้ว..!!.. ตั้ง 8-9 เดือน..!!!

 

(ดูซิครับ ในป้ายบอกรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 แต่เอาป้ายนี้มาติดวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554)

 

SAM_1692

 

 

การเผยแพร่ผลงาน “ความคิด” ของนักวิชาการ จึงถือเป็นการทำหน้าที่ที่ถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วนและเป็นเรื่องปกติในประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก

 

จะมีก็แต่ชุมชนวิชาการล้าหลังที่หาความศิวิไลซ์ทางสติปัญญาไม่เจอบางชุมชนที่เป็นถึงระดับมหาวิทยาลัยอยู่แถวแยกบ้านธาตุ

ที่ชอบบอกให้คนอยู่เฉยๆ... อย่าคิด, อย่าเขียน, และอย่าสื่อสารเผยแพร่ หรือถ่ายทอดความคิดนั้นออกสู่สังคม..

 

ปานประหนึ่งเป็นชุมชน “เผด็จการ”… 

ไม่ใช่ชุมชน “วิชาการ” !!

 

แล้วยังมีหน้ามาเรียกขานตัวเองกันว่าเป็นนักวิชาการ, นักการศึกษา, และ ปัญญาชน ซ้ำยังมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าชุมชนวิชาการใหญ่อย่างสถาบันอุดมศึกษากับเขาด้วย

 

 

 

  

บทส่งท้ายของตอน “ปฐมบท”

 

บล็อกนี้จึงเกิดขึ้น เพื่อบอกเล่าและบันทึกความคิดของผมที่มีต่อชีวิต สังคม ผ่านวิถีของชุมชนบริเวณแยกบ้านธาตุที่ผมใช้ชีวิตเดินทางผ่านไปผ่านมา และ มองเห็นปรากฎการณ์ต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวแถวนี้อยู่ทุกวัน

 

เผื่อบางความคิดอาจนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ในอนาคตให้เกิดขึ้นกับสังคมและเกิดประโยชน์ต่อชีวิตผู้คนทั้งระดับชุมชนจนถึงระดับชาติมากกว่าที่เป็นอยู่เดิมในปัจจุบันบ้าง

 

แล้วพบกันในตอนต่อ ๆ ไปที่จะทยอยนำเสนอต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ครับ

 

ตั้งใจว่าจะพยายามนำเสนอและโพสท์ให้ได้สัปดาห์ละตอน หรืออาจจะเป็นสองสามสัปดาห์ต่อตอนหนึ่งในบางช่วงเวลาที่ไม่ค่อยว่าง

 

แต่ไม่มีทิ้งครับ

 

รับรองว่าจะมีเรื่องให้เขียน ให้อ่าน และให้คิด...ตลอดไปแน่นอนครับ

 

แวะเข้ามาติดตามดูความเคลื่อนไหวทางความคิดที่ “แยกบ้านธาตุ” แห่งนี้... ได้เรื่อย ๆ…

 

เป็นระยะ ๆ ครับ   l