ตัวอย่างที่ 2
อีกตัวอย่างหนึ่งที่จะขอยกมาสนับสนุนให้เห็นชัดเจนในประเด็นของความแตกต่างในเรื่องความคิดที่สนใจตามสาขาอาชีพที่ไม่เหมือนกันของผู้คน…ต่อจากที่กล่าวเกริ่นไว้บ้างแล้วในตอนที่ 3 ที่ผ่านมา…
คือตัวอย่างจากภาพนี้ครับ...
คนที่เข้าเน็ต (internet) ที่ไม่ใช่คนแถวแยกบ้านธาตุ จังหวัดสกลนคร แต่อยู่จังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศหรือทั่วโลก แล้วบังเอิญเพิ่งเปิดมาเจอบล็อกนี้ และได้มีโอกาสเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรก โดยไม่เคยเห็นสถานที่จริงของภาพนี้มาก่อน
คิดว่าส่วนใหญ่เขาจะนึกถึงอะไรกันครับ ??
จะมีใครสักคนที่เห็นภาพเหล่านี้…
แล้วคิดถึงสถานที่..ที่ถูกเรียกกันว่า “โรงเรียน” บ้างครับ ??..,
จะมีใครคนไหนสักเท่าไร…ที่บอกกับตัวเอง และคนอื่นอย่างมั่นอกมั่นใจในทันทีที่แรกเห็นภาพนี้ว่า…
“นี่คือภาพของ “โรงเรียน” หนึ่ง”..,
และจะมีใครสักกี่คนหนอที่ร้องอุทานออกมาในฉับพลันทันใดเมื่อเห็นภาพนี้ว่า
“อ๋อ..! นี่มันคือ “โรงเรียน” แน่ ๆ.. ไม่ใช่สถานที่อื่นใดเลย”
หรือ
“อ๋อ..! นี่มัน “โรงเรียน” ชัด ๆ... มิพักต้องสงสัยเลย..!!”
ในความคิดคำนึงของคนทั่วประเทศและทั่วโลกเมื่อเห็นภาพนี้เป็นครั้งแรกในบล็อกนี้ (ยกเว้นคนแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร ที่เคยเห็นภาพจริงจากสถานที่จริงมาแล้ว)…
จะมีแม้เพียงสักหนึ่งความคิดคำนึงไหม ? ที่มีคำว่า “โรงเรียน” เข้ามาแผ้วพานให้นึกถึงอยู่ในห้วงความคิดคำนึงนั้น
และใน “สมอง” ของคนที่ไม่ต้องมีไอคิวสูงส่งมากมายเทียบเท่าระดับจีเนียสแบบของอัลเบิร์ต ไอสไตน์ อะไรเลยนั้น... จะมีสักกี่สมอง ? ที่จะคิดนึกเอาภาพข้างบนนี้ไปสัมพันธ์เชื่อมโยงกับภาพของสถานที่ที่คนทั่วโลกเรียกกันว่า “School” บ้าง..!!
จะมีก็อยู่แต่ที่ใน “มหาวิทยาลัย” แห่งหนึ่งในสังกัด “กระทรวงศึกษาธิการ” ของประเทศไทย ที่ตั้งอยู่แถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร
เป็นมหาวิทยาลัยที่มีคณะทางวิชาการศึกษาอย่าง “คณะครุศาสตร์” ที่สังคมคาดหวังว่าจะ expert เรื่องที่เกี่ยวกับ “โรงเรียน” โดยตรง
และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีรากฐานมาจากการที่น่าจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเกี่ยวกับ “โรงเรียน” โดยเฉพาะ
เพราะมีฐานะในอดีตมาจากการเป็น “โรงเรียนฝึกหัดครู” ที่มีจุดมุ่งหมายหลักอยู่ที่เรื่องของการจัดการศึกษาและผลิตครูให้โรงเรียนต่าง ๆ ของประเทศตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว
ยาวนานมาจนถึงปัจจุบัน..ที่มีการเปิดสอนวิชาการทาง “การศึกษา” นี้ถึงระดับ “ปริญญาเอก” ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้เข้าไปแล้ว…
ซึ่งมีจริง ๆ นะครับ ภาพข้างบนนั้นเป็น “โรงเรียน” จริง ๆ ครับ
ไม่ได้ล้อเล่นเลยครับ
เป็นโรงเรียนที่มีชื่อว่า “โรงเรียนวิถีธรรม” ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับเด็กเล็กของ “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ที่เปิดรับเด็กเล็กจากครอบครัวทั้งที่อยู่ภายในและนอกมหาวิทยาลัยเข้ามาเรียน
และเป็นโรงเรียนที่มักทำให้ความคิดของผมสะดุดผุดขึ้นมาแทบทุกครั้งเมื่อต้องผ่านโรงเรียนแห่งนี้
ในขณะที่คนต่างสาขาอาชีพอย่างคนขายพวงมาลัย คนส่งวัว คนงาน คนขายนมเปรี้ยว ตำรวจจราจรแยกบ้านธาตุ นายธนาคาร นักธุรกิจ อธิบดี นายกเทศมนตรี ปลัดอำเภอ ฯลฯ (ที่เคยเขียนถึงในบล็อกตอนก่อนๆที่ผ่านมา) อาจจะเฉยๆ ไม่มีความคิดที่จะสนใจอะไรเมื่อผ่านโรงเรียนแห่งนี้ เพราะความคิดของพวกเขาอาจไปสนใจอยู่ที่เรื่องในสาขาอาชีพของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
แต่ผมกลับสนใจ และความคิดต่อเรื่องนี้มักจะแล่นไปอย่างว่องไวทุกครั้งเมื่อสายตาไปปะทะกับ “รั้ว” ของโรงเรียนแห่งนี้ซึ่งเป็นด่านแรกที่จะสะดุดสายตาผู้ผ่านไปมาอย่างชัดเจนก่อนสิ่งอื่น
ซึ่งบังเอิญว่าเส้นทางการเดินทางไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของผมจากตำแหน่งที่ผมพำนักอยู่ต้องผ่านโรงเรียนแห่งนี้ทุกวัน
และผ่านทีไรก็อดสลดใจกับเด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ ที่จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญของชาติทดแทนคนรุ่นเก่าที่กำลังแก่ตัวลงและล้มหายตายจากสังคมนี้ไปไม่ได้ทุกครั้ง..เมื่อเห็นภาพเด็กน้อยเหล่านั้นเข้าไปอยู่ภายใน “รั้ว” แบบนี้
ยิ่งบางวัน ผ่านไปทันเห็นภาพที่พ่อแม่ผู้ปกครองหอบหิ้วกันเอาเจ้าแก้วตาดวงใจตัวน้อย ๆ นี้ลงจากรถเดินไปส่งเข้าโรงเรียนนี้ตอนเช้า ๆ ก็อดสะทกสะท้อนใจด้วยนึกสงสารและเห็นอกเห็นใจ ทั้งเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ที่ปรารถนาจะเลือกสรรแต่สิ่งดีๆให้ลูกน้อยไม่ได้
สะทกสะท้อนใจว่าเหมือนเป็นการส่งเด็ก ๆ ให้เดินเข้าไปใน “กรง” อะไรซักอย่างที่เป็นเสมือนกำแพงสูงท่วมหัวล้อมรอบกักขังลูกหลานตัวน้อย ๆ ของเราไว้ ทั้ง ๆ ที่พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกน้อยสุดที่รักแล้ว
มองเห็นทีไรเวลาเดินทางผ่าน ไม่เคยรู้สึกว่าเป็น “รั้ว” ของ “โรงเรียน” เลย
รู้สึกถึงแต่ความเป็น “กรง”
ยิ่งมองผ่านกรงกำแพงตาข่ายเหล็กอันสูงลิ่วเข้าไปข้างใน
และนึกวาดภาพเด็ก ๆ กำลังเล่นหรือเรียนรู้กันอยู่ตรงลานกลางแจ้งที่ถูกล้อมรอบทุกทิศทุกทางด้วยรั้วกรงกำแพงตาข่ายเหล็กที่ตั้งติดพื้นดินและสูงขึ้นไปจนท่วมหัวนี้แล้ว…
ก็ไม่เคยนึกเห็นภาพของความเป็น “โรงเรียน” ได้ซักที
ต่างจากเวลาที่ผ่านบางโรงเรียนธรรมดาสามัญทั่วไป เมื่อมองผ่านรั้วของโรงเรียนแห่งนั้นเข้าไปเห็นเด็ก ๆ กำลังเล่นอยู่ภายในรั้วของโรงเรียนนั้น
กลับรู้สึกได้ถึงความเป็น “โรงเรียน” ขึ้นมาอย่างอัติโนมัติจากผลของการมี “รั้ว” แบบธรรมชาติปกติทั่วไปของโรงเรียนแห่งนั้น ที่ไม่ทำให้การรับรู้ถึงความเป็น “โรงเรียน” ของสถานที่แห่งนั้นเบี่ยงเบนไปเป็นอื่น
แต่ของ “โรงเรียนวิถีธรรม” แห่ง “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” แห่งนี้ กลับทำให้รู้สึกได้ถึงการเป็นรั้วที่ “แปลกแยก” ไปจากรั้วตามธรรมชาติของโรงเรียนธรรมดาทั่วไปที่เคยพบเห็น
เวลามองผ่านลูกกรงตาข่ายเหล็กที่กั้นล้อมรอบเป็นกำแพงสูงลิ่วเข้าไปทีไรจึงไม่เคยเห็นความเป็น “โรงเรียน” ของสถานที่แห่งนี้ ต่อให้จะติดป้ายชื่อบอกว่าเป็นโรงเรียนไว้ข้างหน้าก็ตามที
ไม่เชื่อ..ลองหลับตา...
แล้วนึกจินตนาการ หรือ นึกถึงภาพโรงเรียนต่าง ๆ ว่ามีโรงรียนแห่งไหน..อยู่ที่ใด..ที่มีรั้วแบบของโรงเรียนที่อยู่ใน “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” แห่งนี้บ้าง
หรือจินตนาการดูว่าเคยเห็นภาพรั้วลักษณะกรงตาข่ายเหล็กที่ล้อมรอบเป็นกำแพงสูงท่วมหัวแบบของ โรงเรียนวิถีธรรมแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร นี้อยู่คู่กับหน่วยงานแบบใดบ้าง ?
หรือเป็นภาพที่สัมพันธ์กับสถานที่แบบใดบ้าง ?
แล้วในจินตนาการนั้น มีภาพของสถานที่ที่ถูกเรียกขานกันว่า “โรงเรียน”
บ้างหรือไม่ ?
ผมคิดว่า ในความคุ้นชินและการรับรู้ (perception) ของผู้คนมายาวนานนั้น คงจะมีก็แต่ภาพของหน่วยงานหรือสถานที่ต่อไปนี้...ที่เห็นสัมพันธ์คู่กับกรงกำแพงรั้วตาข่ายเหล็กซึ่งมีความสูงตั้งแต่พื้นดินจนท่วมหัวแบบนี้
อาทิ….
1. สถานที่ ที่เรียกกันว่า สนามกีฬากลางแจ้ง บางประเภท
2. สถานที่ ที่เรียกกันว่า ห้างขายสินค้าประเภท Super Store หรือห้างประเภท Modern Trade ต่างๆ
อันนี้ของ makro สกลนคร ครับ
และนี่ของ Lotus สกลนคร ครับ
3. สถานที่ ที่เรียกกันว่า สวนสัตว์ (Zoo)
ผมให้ Link เข้าไปดูชัด ๆ โดยตรงในเว็บกันเองนะครับ
ยังมีตัวอย่างเพิ่มเติมให้ดูอีกเยอะครับ
ซ้ายบน คือ สถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ (สวนสัตว์เปิดเขาค้อ)
http://travel.sanook.com/gallery/galleryws/666021/1153864/
ขวาบน คือ สวนสัตว์พาต้า ของห้างพาต้า ปิ่นเกล้า กรุงเทพมหานคร
http://www.ladysquare.com/forum_posts.asp?TID=15169
ซ้ายล่าง คือ สวนสัตว์โคราช จ.นครราชสีมา
http://www.rd1677.com/rd_korat/top_korat.php?id=64032
ขวาล่าง คือ สวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี
http://ching-ching.exteen.com/20081001/entry
(ยังมีอีกหลายแห่งครับนอกจากตัวอย่างข้างต้นแล้ว ลอง search เข้าไปดูเพิ่มเติมในเน็ตเองเลยครับ มีตัวอย่างให้เห็นอีกมากมายเยอะแยะ ดูกันไม่หวาดไม่ไหว)
4. อื่น ๆ (ที่อาจจะมีท่านอื่นๆนึกออกและเคยเห็นตัวอย่างให้นึกถึงอีกมากกว่า 3 สถานที่ข้างต้น) เช่น หน่วยงานราชการบางแห่งที่ผมเคยเห็น แต่เป็นแบบทรงเตี้ยที่ไม่สูงท่วมหัว
แต่ผมไม่รู้สึกว่าแบบนี้มันจะดีเท่าไรนักหรอกครับ เมื่อเทียบกับความเป็นหน่วยงานระดับนี้ที่มีทั้งโอกาสและทางเลือกตั้งมากมายหลากหลายมากกว่าชาวบ้านทั่วไปตั้งหลายเท่าที่จะสร้างสรรค์งานแบบอื่น ๆ ที่ดี และเหมาะสมกว่านี้..
ให้เป็นตัวอย่าง..เป็นแบบอย่างและเป็นการสร้างศรัทธาต่อหน่วยงานแก่ชาวบ้านเขา..ยามที่เขาอยากมาศึกษาเรียนรู้ดูงานเพื่อจำแบบเอาไปใช้งานหรือเลียนแบบหรือประยุกต์ดัดแปลงทำตามที่บ้านของเขาบ้าง
ผมคิดว่าบางหน่วยงานอาจเอาง่ายเข้าว่ามากกว่า เหมือนรีบ ๆ ทำ รีบใช้งบฯ แล้วแต่ผู้รับเหมาจะคิดหา..จะจัดอะไรให้ก็เอาทั้งนั้น
แล้วก็มีคำตอบกับคนอื่นไว้ป้องกันตัวเองคล้าย ๆ กันจนเป็นคำตอบสำเร็จรูปที่ท่องเตรียมไว้ตอบชาวบ้านจนจำได้ขึ้นใจ..ว่า.. “งบฯน้อย”
ทั้งที่จริงแล้ว ตนเองชอบแต่จะฝากการใช้ “ความคิด” ให้ไปอยู่ที่ผู้รับเหมา หรือคนอื่น ๆ ที่เป็นใครก็ไม่รู้ซักคนหนึ่ง จึงชอบทำกันแบบไม่ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมและรสนิยมอะไรให้สมกับระดับที่เป็นถึงหน่วยงานและสถานที่ของทางการเลย
ทั้งยังขาดการใช้ความคิดอ่านในเรื่องการดีไซน์และเรื่องของการมีสไตล์ต่องานพวกนี้ด้วยอย่างมาก เหมือนมีวัตถุประสงค์อยู่ที่เรื่องอื่นเป็นหลักตามที่รู้ ๆ กันอยู่มายาวนานในสังคมไทย แต่ไม่ใช่อยู่ที่ความปรารถนาให้บังเกิดผลเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแก่หน่วยงานที่ตัวเองมาอยู่
ลักษณะผลงานส่วนใหญ่จึงปรากฎออกมาให้เห็นภายใต้แนวคิดหรือคอนเซ็ปต์ที่ผมขอเรียกว่า คอนเซ็ปต์ “ไม่ใช่บ้านกู” เหมือน ๆ กันหมดในหลายหน่วยงานราชการ
เมื่อได้เห็นตัวอย่างของสถานที่ทั้ง 4 สถานที่ข้างต้นเป็นเบื้องต้นในความเกี่ยวโยงสัมพันธ์อยู่คู่กับการใช้กรงกำแพงรั้วตาข่ายเหล็กดังที่เห็น และถูกรับรู้จากคนทั่วไปส่วนใหญ่มายาวนานแล้ว…
สำหรับผม จึงสรุปกับตัวเองได้ว่า “รั้ว” แบบของ โรงเรียนวิถีธรรมแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ที่มีลักษณะตามที่เห็นในปัจจุบันนี้นั้น ไม่เคยอยู่ในการรับรู้มาก่อนว่าเป็นรั้วแบบที่ใช้คู่กับสถานที่..ที่เรียกกันว่า “โรงเรียน”
ทั้งยังนึกไม่ออกว่ารั้วสไตล์แบบนี้เคยมีอยู่คู่กับคำว่า “โรงเรียน” อะไร ?
และที่ไหนบ้าง ?
นอกจากอยู่ตามสถานที่ 4 ประเภทข้างต้นเท่าที่ผมจะนึกออกได้ในตอนนี้
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมเห็น “รั้ว” แบบนี้ ถูกนำมาสัมพันธ์ เชื่อมโยง และใช้คู่อยู่กับคำว่า “โรงเรียน” ทั้งยังเป็นโรงเรียนระดับ “วิถี” แห่ง “ธรรม” ด้วย
ความจริง ต้องสารภาพว่า เมื่อเขียนมาถึงตรงนี้ ผมอดรู้สึกขบขันกับตัวเองไม่ได้
แค่นึกถึงความเกี่ยวโยงสัมพันธ์กันระหว่าง “รั้ว” แบบนี้ กับคำว่า “โรงเรียน” ก็ทำให้นึกขันจนต้องนั่งอมยิ้มแล้ว
ยิ่งตอนผมเขียนมาถึงคำว่า “วิถี” เอย.. คำว่า “ธรรม” เอย..
ก็ยิ่งรู้สึกตลบขบขันจนอดไม่ได้ต้องหัวเราะออกมาเล็กน้อย !
เพราะความคิดผมมันดันไถลไปนึกเชื่อมโยงเอาภาพแรกที่เป็น “รั้ว” แบบกรงตาข่ายเหล็กสูงลิบลิ่วของโรงเรียนแห่งนี้…
เข้าไปสัมพันธ์กับภาพที่สองที่เป็นป้ายชื่อโรงเรียนซึ่งเน้นไปที่คำว่า “ธรรม” แถมพ่วงด้วยคำว่า “วิถี” ตามชื่อโรงเรียนนั่นเองครับ
ยิ่งคิด ยิ่งนึกภาพในใจถึงการสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่าง “รั้ว” กับ “ชื่อ” ของโรงเรียนแห่งมหาวิทยาลัยนี้แล้ว ก็ยิ่งทำให้ทั้งขบขันทั้งงุนงงกับความสัมพันธ์เชื่อมโยงแบบนี้ของมันจริงๆ ว่า เออ..คงไปกันได้และเข้ากันได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนดีนะ..กับการจะนำพาอนาคตของเด็ก ๆ โรงเรียนนี้ไปสู่จุดมุ่งหมายตามปรัชญาของโรงเรียนที่อุตส่าห์โฆษณาไปทั่ว..
ในเมื่อลักษณะตามแบบที่เห็นอยู่ในปัจจุบันของอันแรก (รั้ว) ได้สื่อถึงการไร้อิสรภาพและการควบคุมกักขัง (ยิ่งอยู่ในรั้วแบบนี้นาน ก็เหมือนถูกกักขังนาน)
ในขณะที่อันหลัง (วิถีธรรม) ได้สื่อถึงเส้นทางแห่งเสรีภาพ, การเดินทางไปสู่อิสรภาพ...สู่ความหลุดพ้น
หรือคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้..ที่ทำ “รั้ว” ให้เด็ก ๆ ออกมาสไตล์แบบนี้ รู้จักกับคำว่า “ธรรม” ในคนละความหมายกับที่ผมเคยรู้จัก
หรือรู้จักที่มาของคำ ๆ นี้จากคนละสำนักกันกับผม
ผมจะได้ทราบไว้เป็นความรู้ใหม่ว่า “ธรรม” และ “วิถีธรรม” ในความหมายของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ คือการขาดเสรีภาพ, การกักขังบังคับควบคุม, การดำเนินชีวิตเพื่อนำไปสู่การสูญเสียอิสรภาพ, และความไม่มีอิสระที่จะนำชีวิตไปสู่ความหลุดพ้น
ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงต้องสร้าง “รั้ว” แบบนี้ให้มีลักษณะที่สอดคล้องต้องกันกับความหมายของคำว่า “วิถีธรรม” ตามที่มหาวิทยาลัยนิยามเองข้างต้น....
ซึ่งถ้าจะเอากันแบบนี้ จะกำหนดนิยามความหมายกันเอง..แล้วสื่อสารแสดงความหมายที่นิยามเองนี้ผ่านออกมาทาง “รั้ว” ให้ปรากฎในสไตล์แบบที่เห็นอยู่ทุกวันนี้… ก็ไม่มีใครไปว่าอะไรได้…
แต่จะให้คนหลายๆคนที่เขาพอรู้จักและรู้เรื่องนี้ดีอยู่บ้าง ไปยอมรับนิยามและคล้อยตามความหมายคำว่า “วิถีธรรม” ที่แสดงออกมาเป็น “รั้ว” แบบนี้...
เห็นจะยากครับ !!
มีแต่เขาจะเศร้าใจกับเด็ก ๆ ผู้ใสสะอาดบริสุทธิ์ที่ต้องมาถูกเลี้ยงดูให้เติบโตภายในสภาพแวดล้อมที่เหมือนถูกกักขังอยู่ในกรงรั้วแบบของมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้
และมีแต่เขาจะยิ้มหัวขบขันกับมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้..ที่ช่างทำผลงานอะไรออกมาได้ปานประหนึ่งเด็กเล่นขายของอย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นถึงระดับ “มหาวิทยาลัย” ที่ก่อตั้งมานานขนาดนี้แล้ว จะ “คิด” และ “ทำ” เรื่องพื้น ๆ ง่าย ๆ แบบนี้..ไม่ได้..และไม่เป็น..!!
ซึ่งคงต้องอธิบายขยายความรายละเอียดประเด็นนี้เพิ่มเติมอีกครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมขบขันกับเรื่องนี้แบบไม่มีเหตุผล
แต่ขอเป็นตอนหน้านะครับ ผมจะเขียนสะท้อนความคิดของผมที่มีต่อ “รั้ว” กรงตาข่ายเหล็กที่ล้อมรอบเป็นกำแพงสูงท่วมหัวในสไตล์แบบของ “โรงเรียนวิถีธรรมแห่งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” แห่งนี้ในประเด็นเพิ่มเติมจากตอนนี้โดยเฉพาะ
เพราะตอนนี้ยังอยู่ในตอน “ปฐมบท” อยู่... การพูดถึงเรื่อง “รั้ว” ตรงนี้..ก็แค่ต้องการยกมาเป็นตัวอย่างเพื่ออธิบายขยายความเนื้อหาในส่วนปฐมบทของการเขียนบล็อกนี้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ตอนที่ 1 เป็นต้นมาจนถึงตอนนี้
ท้ายที่สุดของตอนนี้... อยากสรุปและอยากบอกว่า...
“แยกบ้านธาตุ” สำหรับผม จึงเป็นแยกทางความคิดที่ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายตลอดหลายปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับผู้คน, สังคม, การศึกษา, วิชาการ
ซึ่งผมตั้งใจว่าจะนำความคิดที่ผมได้เรียนรู้นี้มาเสนอถ่ายทอดเล่าสู่กันฟังต่อไปเรื่อย ๆ ในบล็อกนี้
และ “แยกบ้านธาตุ” สำหรับผม จึงเป็นแยกเชิงสัญลักษณ์ที่ผมจะใช้สื่อสารความคิดเชิงปรัชญาชีวิต สังคม และการศึกษา..ผ่านแยกนี้..เป็นระยะ ๆ..ไปเรื่อย ๆ
“แยกบ้านธาตุ” ในบล็อกนี้จึงไม่ใช่แยกในความหมายทางกายภาพที่ชวนให้นึกถึงการคมนาคม การขนส่ง การเดินทางสัญจร
หรือการหยุดรอสัญญาณไฟเขียว-ไฟแดงเพื่อเดินรถผ่านไปสู่สถานที่ตำแหน่งเป้าหมาย
และจะไม่ใช่แยกในความหมายของการท่องเที่ยว หรือเกี่ยวกับสภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ใด ๆ ของแยกนี้ ฯลฯ
แต่จะเป็นแยกในความหมายของความคิดอิสระเกี่ยวกับเรื่องที่ผมสนใจเฉพาะเรื่องดังที่กล่าวมาข้างต้น
ถามว่า... เมื่อคิดแล้ว ทำไมไม่เก็บเงียบไว้..
และอยู่เฉยๆ...??
ตอบสั้น ๆ... (ส่วนตอบยาวๆ จะเขียนให้อ่านภายหลังในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง)....
ตรงนี้ก่อนว่า.....
1. เพื่อให้ความคิดนั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อผู้คน ต่อชาติบ้านเมืองบ้าง แม้จะเป็นประโยชน์เพียงส่วนเสี้ยวเล็ก ๆ ที่จะเกิดขึ้น..ก็ยังดี
2. เพื่อการทำ “หน้าที่” ของ “มนุษย์” ที่ได้มีโอกาสเกิดมาแล้วในชาตินี้…
สำหรับผมแล้ว..การเก็บเงียบความคิดไว้และอยู่เฉยๆโดยไม่เกิดประโยชน์อะไรกับสังคม จึงไม่ถือเป็นการทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์งดงามของชีวิตที่เกิดมา…
แต่ถือเป็นการเสียชาติเกิด
3. และ เพราะโดยอาชีพผม เป็นอาชีพที่สังคมเรียกขานและรู้จักกันในชื่อว่า..
“นักวิชาการ” ซึ่งต้องมีหน้าที่ผลิต สร้างสรรค์ ถ่ายทอดเผยแพร่ผลงานและความคิดทางวิชาการที่เป็นประโยชน์และเป็นคำตอบให้กับสังคมอยู่แล้ว
ไมใช่คิดแล้วเก็บไว้ ดังที่จะเห็นการเผยแพร่ความคิดของคนในแวดวงวิชาการชั้นนำตามสื่อแบบดั้งเดิม เช่น ตามหน้าหนังสือพิมพ์และตามวารสาร นิตยสารต่าง ๆ มาช้านาน
ตัวอย่าง เรื่อง “โรงเรียนวิถีธรรม” ข้างต้น…
ถ้าผมคิดถึงประเด็นต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น เรื่อง “รั้ว” ของโรงเรียนนี้ที่ดูไม่เหมือนรั้วของสถานที่ที่เรียกขานกันว่า “โรงเรียน”
และไม่น่าจะเหมาะสมหรือไม่น่าจะเอื้อต่อคุณภาพการเติบโตของเด็กๆตามนัยแห่งความหมายของคำว่า “วิถีธรรม”
แล้วผมก็เก็บเงียบความคิดนี้ไว้
ถามว่าสังคมจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ?
ผมคิดว่า..เปล่าเลย
ซ้ำร้ายก็จะปล่อยให้เกิดการผลิตซ้ำทำแบบเดิมกับงานประเภทอื่น ๆ หรือโครงการต่าง ๆ อีกหลายชนิดหลายรูปแบบของมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างง่าย ๆ โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้ลึกซึ้งมาก
และขาดความรับผิดชอบต่อเด็ก ๆ และพ่อแม่ของเด็ก ๆ ในการทำงานหรือโครงการต่างๆที่ต้องเกี่ยวข้องกับการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมต่อคุณภาพการเติบโตของเด็ก ๆ ในโรงเรียนแห่งนี้ไปเรื่อย ๆ
แต่อย่างน้อย เมื่อความคิดนี้ไม่ถูกเก็บเงียบไว้ แต่ถูกบันทึกให้เผยแพร่ปรากฎบนโลกไซเบอร์ ผู้คนส่วนต่าง ๆ ในสังคมก็จะมีโอกาสรับรู้และเข้าถึงความคิดที่ถูกเผยแพร่นำเสนอนี้ได้
โดยเฉพาะกลุ่มที่ใกล้ชิดเกี่ยวข้องที่สุด อย่างเช่น กลุ่มพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก ๆ
หรือกลุ่มที่กำลังมีโครงการที่จะทำโรงเรียนสำหรับเด็ก ๆ ในอนาคตตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศที่กำลังศึกษาดูงานเรื่องนี้อยู่ ทั้งจากของจริงและจากอินเทอร์เน็ต
อาจจะได้เข้ามาดูตัวอย่างว่ามีรูปแบบรั้วลักษณะนี้สำหรับโรงเรียนของเด็กเล็กเกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้จริง และยังได้ดูว่ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องรั้วแบบนี้แสดงไว้ที่บล็อก “แยกบ้านธาตุ” แห่งนี้ไว้เช่นไรบ้าง
แล้วหลังจากนั้น ก็จะได้หยุดคิด ตั้งสติ ระลึกให้ได้ว่า...
จะเห็นแก่ตัว(เอง)… หรือ จะเห็นแก่(ตัว)ลูก...หลาน
ถ้าเลือกที่จะเห็นแก่ตัว(เอง) และนึกถึงเอาแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็ตีโพยตีพาย ขุ่นเคือง แผ่โทสะจริตเข้าใส่ทั้งคนสร้างรั้วแบบนี้ให้ลูกหลานตน ทั้งมหาวิทยาลัยแห่งนี้ที่ไม่รับผิดชอบควบคุมการปฏิบัติงานภายในองค์การจนปล่อยให้มีผลงานแบบรั้วนี้ออกมา
และท้ายสุดก็พุ่งโทสะเข้าใส่คนเขียนแสดงความคิดเห็นในบล็อกนี้ว่า..
ไม่น่ามาทักเรื่องนี้กันเลย ทำให้ตนต้องเสียหน้าและอับอายเพื่อนบ้านเพราะกลัวถูกล้อว่าส่งให้ลูกมา “โรงเรียน” หรือมา “สนามกีฬากลางแจ้ง” หรือ “ลานจอดรถของห้างแม็คโคร โลตัส” หรือ “สวนสัตว์” กันแน่ เป็นต้น
สังเกตดูว่า มีแต่เรื่องของ “ตนเอง” ให้นึกถึงก่อนทั้งนั้น ยังไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องของ “ลูก” และ “หลาน” เลย
แต่ถ้าเลือกที่จะเห็นแก่(ตัว)ลูกหลาน เอาตัวลูกหลานเป็นตัวตั้ง และถือว่าเขาเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดของพ่อแม่ที่จะคิดถึงการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่เขาก่อนเป็นอันดับแรกแล้ว
เวลาที่จะหมดไปกับความขุ่นเคืองด้วยโทสะและโมหะจริตดังข้างต้น ก็ควรจะหมดไปกับการถกเถียง, การแลกเปลี่ยน, การ disscuss, การเสวนา, การสัมมนา ในประเด็นต่างๆของเรื่องนี้แทน
เช่น ประเด็น ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร, หรือ มันจะดีหรือไม่ดีกับลูกเราอย่างไรทั้งในระยะสั้นและระยะยาวของการเติบโต, หรือ จะเป็นประโยชน์มากหรือเป็นประโยชน์น้อยต่อลูกหลานเราอย่างไร, หรือ มีทางเลือกอื่นๆนอกจากทางเลือกด้วยรั้วแบบที่เห็นขณะนี้อีกบ้างหรือไม่ ? เป็นต้น
เพื่ออะไร ?
ก็เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดให้เด็กๆลูกหลานไทย (ไม่ใช่แต่เฉพาะลูกหลานของ “สกลนคร”) ตรงตามความหมายที่แท้จริงของคำว่า “วิถีธรรม”
ในที่สุดถ้าได้ข้อสรุปว่า…
รั้วสไตล์แบบที่เห็นและเป็นอยู่นี้ โอเคแล้ว เหมาะแล้ว ดีแล้ว และนี่คือนวัตกรรมรั้วในสไตล์ที่สุดยอดที่สุดตามวิถีแห่ง “ธรรม” แล้ว..
ก็จบ...!!
ถึงตอนนี้จะหันมามีโทสะหรือโมโหขุ่นเคืองเข้าใส่คนที่แสดงความคิดต่อเรื่องนี้อย่างผม ก็คงไม่สาย เอาแบบเต็มที่ได้เลยครับ ผมรับได้อยู่แล้ว เพราะผมถือว่าผมได้ทำหน้าที่คิดแล้วเขียน และก็หมดหน้าที่แล้ว
อย่างอื่นที่เหลือผมจะเฉยๆ...ไม่รู้สึกยินดียินร้ายอะไรกับมันเลย จะทำอะไรกันต่อก็สุดแท้แต่ทางเลือกและการตัดสินใจของคนอื่นๆที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้กันเองครับ ไม่ใช่หน้าที่ผมแล้ว
จะตัดสินใจเลือกแบบใด ใครก็บังคับกันไม่ได้..!
จะเลือกตามข้อสรุปแรกว่า รั้วโรงเรียนสไตล์แบบนี้นี่แหละสุดยอดแล้ว.. โอ..วาว....มันยอดมาก… โอเคแล้ว เหมาะกับลูกเราที่สุดแล้ว..
ก็ไม่มีใครว่า !
ก็ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป..
ให้ลูก ๆ หลาน ๆ ของเราเติบโตอยู่ภายใต้การซึมซับและประทับภาพกรงตาข่ายสูงท่วมหัวรอบข้างตัวเขาเข้าไปอยู่ในดวงใจน้อย ๆ
และซึมลึกลงเข้าไปแฝงฝังอยู่ใต้จิตสำนึกของเขาต่อไปเรื่อย ๆ
ด้วยความเคยชินที่เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..และยาวนาน…นับปี !
และถ้าจะให้ดี เมื่อมั่นใจในข้อสรุปนี้แล้ว
ก็ควรถือโอกาสทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วประเทศ รวมทั้งหน่วยงาน องค์การ สถาบันต่างๆ ได้รับรู้และชักชวนมาศึกษาดูงานรั้วโรงเรียนสไตล์นี้กันให้เอิกเกริกเต็มที่....
ให้ไว..!! อย่าช้า..!!
เพราะเมื่อมั่นใจว่าเป็นของดี ก็ควรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตีฆ้องร้องป่าว เพื่อประกาศให้คนอื่นรับรู้ เขาจะได้มาดูแบบแล้วเอาไปทำตามบ้าง
โรงเรียนของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็พลอยจะได้ชื่อเสียงไปด้วยว่าเป็นต้นแบบให้คนอื่นมาดูงานและรับเอารูปแบบรั้วสไตล์ของโรงเรียนตนไปทำตามกันทั่วประเทศ
แต่ถ้าในที่สุด ได้ข้อสรุปที่เป็นไปในทางตรงกันข้ามกับข้อสรุปแรกข้างต้นว่า ไม่โอเคกับรั้วสไตล์แบบนี้ เพราะโดยหลักการแล้วไม่ควรจะยอมรับให้อยู่คู่กับโรงเรียนที่ดำเนินการตามแนวทางปรัชญา “วิถีธรรม” ที่ถูกต้องแท้จริงได้
ที่จะตามมา ก็คงเป็นการร่วมกันหาหนทางแก้ไข ซึ่งอาจจะอยู่ที่ระดับส่วนรวม หรือส่วนตัว ก็แล้วแต่กรณี แล้วแต่สถานการณ์
บางครั้งการแก้ไขที่ระดับส่วนรวมอาจทำได้ยาก เพราะอาจไปติดขัดกับอุปสรรคในระดับนั้นหลายอย่าง เช่น
1. คนทำและคนอนุมัติให้ทำ กลัวเสียหน้า..ถ้าจะต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขผลงานของตน และไม่กล้ายอมรับว่าตัวเองทำผิดพลาด ด้วยกลัวคนอื่นจะรู้ว่าตัวเองมือไม่ถึง และไม่เก่งจริง
โดยเฉพาะคนในระบบราชการ ทั้งคนทำ และคนอนุมัติ คือตัวผู้บริหารที่ควบคุมดูแลบังคับบัญชาสูงสุดในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มักกลัวการเสียหน้าตัวเองมากกว่ากลัวเสียประโยชน์ของคนอื่นอย่างเด็ก ๆ และพ่อแม่ของเด็ก ๆ ในกรณีนี้
(ซึ่งแลเห็นได้ชัดแจ้งว่า คนที่คิดถึงแต่หน้าตัวเองมากกว่าผลเสียที่จะเกิดกับคนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่จะเกิดกับเด็ก ๆ ด้วยแล้ว จะถือว่าเป็นคนมี “ธรรม” ได้ตรงไหนกัน ?? แล้วจะมาทำโรงเรียนให้เป็นโรงเรียนที่อุดมไปด้วย “ธรรม” และอยู่ใน “วิถีแห่งธรรม” ได้จริงล่ะหรือ..??)
หรือ...
2. หมดเงินไปเยอะแล้ว จะแก้ไขก็ต้องเสียเงินอีกมาก ไหนจะกลัวคนด่าตามหลังอีกว่า เป็นตัวผลาญเงินผลาญทองของมหาวิทยาลัยให้ละลายสูญหายอย่างไร้ประโยชน์ถ้าต้องแก้ไขทำใหม่ซ้ำซากอยู่เรื่อย
ดังนั้น ถ้าได้พยายามจนถึงที่สุดแล้ว พบว่าการแก้ไขปัญหานี้ในระดับส่วนรวมต้องถึงทางตันด้วยอุปสรรคดังเช่น 2 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น ผมคิดว่าแต่ละคนก็ต้องกลับมาเลือกที่การแก้ไขในระดับส่วนตัวกันเองตามสะดวก
ส่วนจะทำเช่นไร ย่อมแล้วแต่ทางเลือกที่มีอยู่และข้อจำกัดของแต่ละคน ซึ่งย่อมมีปัจจัยและตัวแปรแวดล้อมต่าง ๆ ของชีวิตที่ไม่เหมือนกัน
เช่น บางคนก็พอมีทางเลือกที่จะย้ายโรงเรียนหรือหาโรงเรียนใหม่ที่มีสภาพแวดล้อมภายนอกดีกว่าให้ลูกได้
พร้อมทั้งอาจบอกปากต่อปากเชิงแนะนำให้ญาติมิตรพี่น้องหรือคนรู้จัก ไม่ให้ส่งลูกหลานรุ่นใหม่มาเข้าเรียนที่โรงเรียนที่มีสภาพรั้วแบบนี้ในปีต่อ ๆไป (ย้ำว่ากำลังพูดถึงกลุ่มที่เลือกข้อสรุปว่ารั้วแบบนี้ไม่โอเคและไม่สามารถจะยอมรับให้มันมาล้อมขังลูกตัวเองอีกต่อไปนะครับ)
ในขณะที่บางคนอาจไม่มีทางเลือกและความพร้อมมากพอ ก็จำเป็นต้องให้ลูกอยู่ต่อ แล้วก็หาทางอื่นมาช่วยบรรเทา
เช่น อาจต้องสอนหรือแนะนำปลูกฝังลูกเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อไม่ให้ลูกเคยชินกับการรับเอาความรู้สึกที่เสมือนถูกกักขัง..สิ้นอิสรภาพ…
และซึมซับเอาความแห้งแล้งแข็งกระด้างจากรั้วของโรงเรียนแห่งนี้ประทับฝังลึกเข้าไปในจิตใจของเขาตั้งแต่เยาว์วัยด้วยความคุ้นชินที่เห็นมันทุกวัน เป็นต้น
ถึงที่สุด..สำหรับคนที่เลือกข้อสรุปแบบที่สอง
(ที่บอกว่ารั้วแบบนี้ไม่โอเค ไม่เหมาะ และไม่ดีพอสำหรับเด็ก ๆ)
ถ้าจำเป็นต้องให้ลูกอยู่ต่อและหมดทางเลือกที่จะผลักดันให้มีการแก้ปัญหานี้แล้วจริง ๆ ก็คือ..การทำใจครับ…
แล้วตัดใจกลับไปเลือกข้อสรุปแรก (ที่บอกว่ารั้วนี้โอเคและสุดยอด เหมาะที่สุดกับเด็กๆแล้ว)
เพื่อว่าอย่างน้อยจะได้มีสิ่งช่วยปลอบประโลมใจตัวเองให้สบายใจขึ้นมาได้บ้างครับ
นี่อาจเป็นคำแนะนำที่ไม่ดีนัก… ผมทราบดีครับ
แต่จะให้ทำอะไรไปได้มากกว่านี้เล่าครับ
เมื่อคุณต้องมาเจอกับผู้บริหารมหาวิทยาลัย และทีมงานในระบบอุปถัมภ์ (patronage system) ที่มีลักษณะแบบนี้ !!
ในที่สุด..ก็คงจะเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า การนำไปสู่ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์เพื่อเด็ก ๆ นี้ (ไม่ว่ากลุ่มไหนจะเลือกการสรุปแบบไหน) จะไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าความคิดของผมและรวมถึงคนอื่น ๆ ถูกเก็บเงียบไว้ไม่ให้สังคมร่วมกันรับรู้
เหมือนกับตัวอย่างในบล็อกตอนที่แล้วเช่นกัน ถ้าไม่คิดดัง ๆ เก็บเงียบไว้ จะมีการเปลี่ยนป้ายหน้ามหาวิทยาลัยให้เหมาะสมขึ้นตามที่เห็นในปัจจุบัน ณ วันที่โพสท์บล็อกตอนนี้หรือ ?
(ย้อนกลับไปดูรายละเอียดในเรื่องนี้ได้จากบล็อกตอนที่แล้วครับ)
คนที่อื่นทั่วไป หรือ ชาวราชภัฏอื่น ๆ ทั่วประเทศ…อาจสงสัยและไม่มั่นใจว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้จะเปลี่ยนป้ายเพราะมีคนคิดและบอกกล่าวเรื่องแบบนี้ให้สังคมได้รับทราบผ่านบล็อกในตอนที่แล้ว
เพราะมหาวิทยาลัยเขาอาจคิดกันได้เองและเปลี่ยนป้ายเอง ถึงแม้เขาอาจคิดช้าไปนานเป็นเวลาถึง 8-9 เดือน ตั้งแต่เดือนต้อนรับ Freshy ที่อยู่แถวพฤษภา-มิถุนา 53 จนมาถึงปลายมกรา-ต่อต้นกุมภา 54 จึงค่อยเปลี่ยน
แต่ขอให้เชื่อเถิดครับว่า คนแถวแยกบ้านธาตุที่รู้ฝีมือการทำงานของผู้รับผิดชอบมหาวิทยาลัยแห่งนี้กันดี และรู้เช่นเห็นชาติในนิสัยสันดานการทำงานด้านนี้กันมายาวนานนั้น
ต่างไม่มีใครเชื่อถือ..ให้เครดิตคนรับผิดชอบบริหารงานมหาวิทยาลัยนี้ในข้อที่ว่าจะคิดออกและเอาใจใส่เปลี่ยนป้ายเอง ถ้าไม่เกิดมาจากความคิดที่เผยแพร่ผ่านบล็อกนี้ให้สังคมส่วนรวมรับรู้ในตอนที่ 3 ที่ผ่านมา…
ไม่งั้น… (ขอโทษนะครับ)… มันเปลี่ยนไปนานแล้ว..!!.. ตั้ง 8-9 เดือน..!!!
(ดูซิครับ ในป้ายบอกรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 แต่เอาป้ายนี้มาติดวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554)
การเผยแพร่ผลงาน “ความคิด” ของนักวิชาการ จึงถือเป็นการทำหน้าที่ที่ถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วนและเป็นเรื่องปกติในประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก
จะมีก็แต่ชุมชนวิชาการล้าหลังที่หาความศิวิไลซ์ทางสติปัญญาไม่เจอบางชุมชนที่เป็นถึงระดับมหาวิทยาลัยอยู่แถวแยกบ้านธาตุ
ที่ชอบบอกให้คนอยู่เฉยๆ... อย่าคิด, อย่าเขียน, และอย่าสื่อสารเผยแพร่ หรือถ่ายทอดความคิดนั้นออกสู่สังคม..
ปานประหนึ่งเป็นชุมชน “เผด็จการ”…
ไม่ใช่ชุมชน “วิชาการ” !!
แล้วยังมีหน้ามาเรียกขานตัวเองกันว่าเป็นนักวิชาการ, นักการศึกษา, และ ปัญญาชน ซ้ำยังมาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าชุมชนวิชาการใหญ่อย่างสถาบันอุดมศึกษากับเขาด้วย
บทส่งท้ายของตอน “ปฐมบท”
บล็อกนี้จึงเกิดขึ้น เพื่อบอกเล่าและบันทึกความคิดของผมที่มีต่อชีวิต สังคม ผ่านวิถีของชุมชนบริเวณแยกบ้านธาตุที่ผมใช้ชีวิตเดินทางผ่านไปผ่านมา และ มองเห็นปรากฎการณ์ต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวแถวนี้อยู่ทุกวัน
เผื่อบางความคิดอาจนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ในอนาคตให้เกิดขึ้นกับสังคมและเกิดประโยชน์ต่อชีวิตผู้คนทั้งระดับชุมชนจนถึงระดับชาติมากกว่าที่เป็นอยู่เดิมในปัจจุบันบ้าง
แล้วพบกันในตอนต่อ ๆ ไปที่จะทยอยนำเสนอต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ครับ
ตั้งใจว่าจะพยายามนำเสนอและโพสท์ให้ได้สัปดาห์ละตอน หรืออาจจะเป็นสองสามสัปดาห์ต่อตอนหนึ่งในบางช่วงเวลาที่ไม่ค่อยว่าง
แต่ไม่มีทิ้งครับ
รับรองว่าจะมีเรื่องให้เขียน ให้อ่าน และให้คิด...ตลอดไปแน่นอนครับ
แวะเข้ามาติดตามดูความเคลื่อนไหวทางความคิดที่ “แยกบ้านธาตุ” แห่งนี้... ได้เรื่อย ๆ…
เป็นระยะ ๆ ครับ l