เ |
รื่องที่ผมคิดเมื่อผ่านแยกบ้านธาตุและบริเวณชุมชนแห่งนี้ บางความคิดอาจเหมือนหรืออาจแตกต่างจากคนอื่นๆ ซึ่งก็เป็นปกติสามัญธรรมดาที่ต้องเป็นเช่นนั้นเองอยู่แล้ว
ความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตตามสัญชาติญาณและจิตสำนึกสามัญทั่วๆไปของมนุษย์ คงคิดเหมือนๆกัน ไม่ค่อยแตกต่างกันมาก
แต่บางด้านของความคิดที่เป็นเรื่องเฉพาะทาง คงต้องแตกต่าง ไม่เหมือนกัน เพราะทั้งโดยภูมิหลัง โดยเบ้าหลอมการใช้ชีวิตที่เติบโตมา โดยสังคมแวดล้อม และโดยอาชีพการงานที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้ความคิดเฉพาะด้านของคนเราต่างกันโดยธรรมชาติอยู่แล้วทั้งในเรื่องของฐานการคิด, หลักคิด, วิธีคิด, และประเด็นที่อยู่ในความสนใจทางความคิด
ดังนั้น จึงเป็นที่แน่นอนว่า ประเด็นเรื่องราวที่อยู่ในความสนใจทางความคิดของผมคงไม่เหมือนกับคนที่ผ่านแยกบ้านธาตุคนอื่น ๆ ที่อยู่ต่างสาขาอาชีพกัน
ผมคงคิดในเรื่องที่ไม่เหมือนกับ คนขายพวงมาลัย, ข้าราชการที่สายงานแตกต่างกัน, พนักงานรัฐวิสาหกิจ, ตำรวจจราจร, คนงาน, นายธนาคาร, นายก อบต., พ่อค้า, แม่ค้า, หรือคนส่งวัว ฯลฯ ที่เคยเอ่ยอ้างเป็นตัวอย่างไว้ในตอนที่ 2 ที่ผ่านมา
เพราะจะให้ผมไปคิดและเล่าเรื่องการทำพวงมาลัยขาย, หรือเรื่องการส่งวัว, หรือเรื่องการจัดการจราจร, หรือเรื่องธนาคาร, หรือเรื่อง อบต. ฯลฯ ผมคงทำไม่เป็น และต้องยอมแพ้อย่างราบคาบเพราะไม่มีความสามารถและอับจนหนทางที่จะนำเสนอในเรื่องราวของแวดวงอาชีพเหล่านั้น
แต่ผมคงคิดและทยอยสะท้อนมุมมองต่าง ๆ ผ่านในบล็อกนี้..
ไปที่เรื่องของ “การศึกษา” และ “สังคม” เป็นด้านหลัก ตามแวดวงที่ผมอยู่และเติบโตคู่กับมันมาตลอดชีวิต
ดังตัวอย่างความคิดของผมต่อไปนี้ครับ
ตัวอย่างที่ 1
เวลาผมผ่านป้ายต้อนรับป้ายนี้ของสถาบันการศึกษาระดับ “อุดมศึกษา” หนึ่งในจังหวัดสกลนครบริเวณแยกบ้านธาตุ
ความคิดผมก็จะผุดขึ้นมาเป็นคำถามในใจทันทีว่า
ทำไมผ่านมาถึงป่านนี้ที่จะจบเทอม 2 แล้ว สถาบันการศึกษาแห่งแยกบ้านธาตุเจ้านี้ ยังคงติดป้ายต้อนรับ “นักศึกษาใหม่” อยู่อีก
ติดทิ้งค้างมายาวนาน…ตั้งแต่แรกรับนักศึกษาใหม่เข้ามาในภาคเรียนแรก และติดเรื่อยมาจนเลยช่วงเทศกาลและบรรยากาศของคำว่า “Freshy” ที่อยู่ในช่วงเดือนพฤษภา – มิถุนา ของภาคเรียนแรกมานานแล้ว ก็ยังคงเห็นติดอวดสายตาชาวบ้านชาวช่องแถวแยกบ้านธาตุอยู่
แม้จะล่วงเลยยาวข้ามปีมาถึงเจียนจะสิ้นภาคเรียนที่ 2 ในขณะนี้ ก็ไม่สนใจ ไม่รู้สึกสะทกสะท้านในการนำเสนอผลงานแบบนี้กับคนผ่านทาง
และมีทีท่าจะยาวไปเรื่อย ๆ โดยติดสลับกับป้ายโฆษณาอื่น ๆ
พอหมดงานป้ายโฆษณาอื่นๆ ก็เอาป้ายโฆษณางานนั้น ๆ ออก แล้วก็คงป้ายต้อนรับ “นักศึกษาใหม่” นี้ให้คนผ่านไปผ่านมาเห็นทุกวัน…จนถึงวันนี้ (29 มกราคม 2554 วันที่โพสท์บล็อกของตอนที่ 3 นี้)
เหมือนไม่รู้จะเอาอะไรมาติด ก็งัดเอาป้ายนี้มาติดทิ้งไว้ก่อน โดยไม่เคยดูความหมาย และไม่เข้าใจ “concept” ของป้ายทำนองนี้เลยว่า…
เขามีคอนเซ็ปต์และจุดมุ่งหมายกันอย่างไร เอาไว้ใช้ช่วงไหน
มีมหาวิทยาลัยไหนบ้างที่ดี ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะยังติดป้ายต้อนรับ “นักศึกษาใหม่” หรือ “Freshy” ในช่วงเวลาและบรรยากาศของการใกล้ปิดภาคเรียนที่ 2 แล้ว..แบบที่เห็นที่หน้ามหาวิทยาลัยแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร แห่งนี้
ผมคิดไม่ออกเลยว่า ทำไมหน่วยงานระดับสถาบันการศึกษาขั้นอุดมศึกษาและมีอายุการก่อตั้งมายาวนานกว่า 40 ปี จนถึง พ.ศ. นี้แล้ว…
ยังคง “คิด” เรื่องแบบนี้ไม่ออก ??
ทั้งยังขาด “concept” ที่ถูกต้องต่อเรื่องพื้นๆ ง่าย ๆ แบบนี้…ได้ไง ??
ใครจะไปนึกว่า..ที่นี่..ที่เป็นถึงระดับ “มหาวิทยาลัย”
ยังแยกคอนเซ็ปต์ของคำว่า “Welcome” ไม่ออก ว่าอันไหนถึงจะเป็น Welcome แบบทั่วไป หรืออันไหนจึงจะเป็น Welcome แบบเฉพาะกิจ
ใครจะไปคาดคิดว่าระดับนี้กันแล้วยังคิดไม่ได้ว่า Welcome แบบทั่วไป ซึ่งเป็นคำกลางๆที่เห็นติดค้างไว้ทั้งปีตามสถานที่บางแห่งในความหมายทำนองของการเต็มใจต้อนรับผู้มาเยือนหรือผู้มาติดต่อหน่วยงานของเขาเป็นประจำโดยปกติวิสัยอยู่แล้ว
ต่างจาก Welcome แบบเฉพาะกิจที่ควรใช้กับบางงานและบางช่วงเวลาเท่านั้น...อย่างไร ??
และใครจะไปนึกไปฝันอีกว่า..ที่มหาวิทยาลัยแถวแยกบ้านธาตุนี้..จะไม่มีความรู้ว่า เวลาไหน ช่วงไหน ควรจะใช้ Welcome แบบไหนดี ???
นี่เล่นเอามั่วไปหมดแบบไม่เกรงใจความเชื่อมั่นของผู้ปกครองและประชาชนทั่วไปที่ผ่านไปมาหน้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ทุกวันเลยว่า
เอ๊ะ..! นี่แล้วจะมาสอนลูกหลานเราให้มีคุณภาพแท้จริงได้แน่หรือ ?
ในเมื่อตัวเองยังขาดความแม่นยำในหลักคิดและไม่เคลียร์ในคอนเซ็ปต์ทางวิชาการของตัวเองแม้แค่เรื่องเล็กๆง่ายๆอย่างเรื่อง “Welcome” นี้เลย
แทนที่สถาบันการศึกษาควรทำหน้าที่ถ่ายทอดสอนคนอื่นและเป็นแบบอย่างทางวิชาการให้สังคมส่วนอื่นได้มาศึกษาเรียนรู้
กลับต้องให้คนอื่นที่ผ่านไปผ่านมาแถวแยกบ้านธาตุต้องมาสอน มาแนะสถาบันการศึกษาในเรื่องคอนเซ็ปต์และหลักคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ให้แทน
เฮ้อ..! กลับหัวกลับหางกันไปหมดเลยนะ...สังคมไทยเดี๋ยวนี้...!!
เรื่องทำนองนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนาน ๆ ที และไม่ใช่เรื่องของความพลั้งเผลอ หรือเป็นเรื่องที่ error แบบชั่วครั้งชั่วคราว ที่จะมาชอบใช้เพียงแค่ “คำพูด” เอ่ยอ้างแก้ต่างในท่วงทำนองนี้ว่า…
“มันก็ต้องมีผิดพลาด... หลง ๆ ลืม ๆ กันบ้าง... นิด ๆ หน่อย ๆ...
แล้วก็แล้วกันไป... เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ไม่มีอะไร ไม่ต้องซีเรียส...
ทำใจให้สบาย ๆ... อย่าคิดมาก.. ช่างมันเถอะ... ฯลฯ”
ขอแทรกความคิดโต้แย้งคำพูดทำนอง..
“มันก็ต้องมีผิดพลาด... หลง ๆ ลืม ๆ กันบ้าง...
นิด ๆ หน่อย ๆ... แล้วก็แล้วกันไป... เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง
ไม่มีอะไร ไม่ต้องซีเรียส... ทำใจให้สบาย ๆ...
อย่าคิดมาก.. ช่างมันเถอะ... ฯลฯ”
ไว้ตรงนี้ก่อนหน่อยนะครับ..ก่อนไปว่าเนื้อหากันต่อ...
กับคำพูดของบางคนที่ชอบพูดง่าย ๆ เช่นข้างต้น โดยไม่ดูว่ากำลังอยู่ในบริบทใดของปัญหา... ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า....
บ้านเมืองเราที่ยังล้าหลัง ก็เพราะสร้างคนให้มีนิสัยที่ชอบแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วย “ปาก” แบบนี้…
มาประดับไว้ในสังคมไทยมากเกินไป !
คนที่คิดว่าแค่ใช้ปาก ใช้คำพูดแบบข้างต้นแล้วก็แก้ปัญหาได้..และปัญหาทุกอย่างก็จบแล้ว..หมดหน้าที่ของตัวเองแล้ว.. ภารกิจของตัวเองได้ลุล่วงแล้ว ทั้งตัวเองก็ได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และยิ่งใหญ่..หลังการใช้ปากแก้ปัญหาด้วยการหลุดคำพูดสวยหรูทิ้งไว้ให้แล้ว...นั้น...
มีมากเกินไปในวัฒนธรรมการทำงานเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองของเราจริง ๆ
จนเป็นอุปสรรคขัดขวาง ถ่วงรั้ง และเป็นตัวปัญหาใหญ่ต่อความเจริญก้าวหน้าของบ้านเรามาก ๆ
คน “กลวงๆ” พวกนี้ หาความลึกซึ้งลุ่มลึกทางความคิดได้ยาก จึงไม่เคยคิดคำนึงถึงบริบทและองค์ประกอบด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ เช่น :
1. องค์ประกอบด้านความยาก-ง่ายของปัญหา
ปัญหาที่เป็นเรื่องง่ายๆที่ไม่ควรจะผิดพลาดอย่างเรื่องคอนเซ็ปต์ของป้ายนี้ก็ไม่ควรทำผิดแล้วมาใช้ปากพูดแก้ตัวง่ายๆเพื่อปัดสวะให้ตัวเองพ้นความรับผิดชอบได้ทั้งที่เป็นปัญหาที่ไม่ยากและสลับซับซ้อนอะไรเลย
เรื่องยาก ๆ ก็ว่าไปอย่าง
2. องค์ประกอบด้านความถี่ของการทำผิดพลาด
การทำผิดซ้ำซากในเรื่องทำนองเดิมๆ หรือเกิดขึ้นประจำยาวนานต่อเนื่อง เป็นปี ๆ และเป็นหลาย ๆ ปี ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือการพลั้งเผลอชั่วครั้งชั่วคราว ที่จะคิดใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยปากเพียงแค่การบอกว่า
“มันก็ต้องมีผิดพลาด... หลง ๆ ลืม ๆ กันบ้าง... นิด ๆ หน่อย ๆ... แล้วก็แล้วกันไป... เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ไม่มีอะไร ไม่ต้องซีเรียส... ทำใจให้สบาย ๆ... อย่าคิดมาก.. ช่างมันเถอะ.... ฯลฯ”
แล้วจะให้คนยอมรับได้อย่างสนิทใจ
และให้คนเออออเห็นพ้องด้วยว่าการแก้ไขปัญหาในสถาบันนี้ได้จบลงเรียบร้อยแฮปปี้เอ็นดิ้งแล้วด้วย “ปาก” ด้วย “คำพูด” ไม่กี่คำและจากคนไม่กี่คนที่ใจกล้าหน้าด้านกล้าออกมาพูดถ้อยคำมักง่ายที่ผิดบริบทแบบนี้มากกว่าคนอื่นในสังคม..อย่างนั้นหรือ..??
มันจะง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ..??
ยังคิดสงสัยไม่หายว่าอะไรไปดลบันดาลใจให้คนกลวงๆพวกนี้ฉุกคิดไม่ออกว่า
ตราบใดที่ไม่ได้ลงมือแก้ไขปัญหานั้นด้วยการกระทำอย่างเอาใจใส่จริงจังและทำงานหนัก ตัวปัญหาเดิมนั้นก็ยังคงอยู่
ไม่ได้หายไปกับคำพูดจากปากของตนเพียงไม่กี่คำเหล่านั้นเลย
และถ้าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยคำพูดแบบของตนเองแล้ว โลกนี้ก็ไม่ต้องการนักบริหาร หรือคนทำงานที่ต้องฝึกฝนทักษะ ความรู้ ความสามารถอะไรเลยก็ได้
เพราะใช้ใครแบบไหน ระดับไหน ก็ไม่ต่างกัน ใช้ปากพูดเป็นกันทั้งนั้น
และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ก็ต้องถูกยุบทิ้งให้หมด
เพราะหมดความจำเป็นที่จะใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนคนให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ
เพื่อนำไปใช้กับการแก้ปัญหาจริงในการทำงานให้เกิดบรรลุผลดีและเป็นประโยชน์มากที่สุดต่อการพัฒนาสังคมเสียแล้ว
อันเนื่องมาแต่ปัญหาทุกอย่างสามารถถูกแก้ไขได้ง่าย ๆ แล้วด้วยปาก ด้วยคำพูด
ซึ่งเมื่อมันเป็นเรื่องที่ง่าย ๆ แบบนี้
ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีสถาบันการศึกษาไว้สำหรับทำหน้าที่ฝึกเรื่องง่าย ๆ พวกนี้อีกต่อไป
ใคร ๆ ก็ทำกันเองได้ l
แต่ในรอบสิบปีมานี้ เรื่องแบบนี้..ทำนองนี้จะเกิดขึ้นตลอดเป็นประจำให้คนผ่านแยกบ้านธาตุได้เห็นอยู่เสมอจนชินตา และจนกลายเป็นสิ่งปกติวิสัยของสถาบันการศึกษาแห่งนี้
เมื่อเป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดขึ้นประจำและเป็นมาช้านานไม่ใช่เพิ่งเกิดมาวันสองวัน
แสดงว่า การเอาใจใส่ การสนใจ การติดตาม และความละเอียดรอบคอบถี่ถ้วนในการทำงานและการบริหารจัดการองค์การต่ำ..ถึงต่ำมาก
และข้อสำคัญ คือการสะท้อนว่า
“Concept” ต่อเรื่องการทำงานต่างๆขององค์การแห่งนี้ ไม่ clear เลย
และถ้า concept ในเรื่องที่เป็นงานระดับง่ายๆแบบนี้ก็ยังไม่ clear และกล้าปล่อยออกมาเผยแพร่ให้ปรากฎต่อคนที่ผ่านแถวแยกบ้านธาตุนี้ทุกวันมายาวนานหลายเดือนติดต่อกันจนจะครบปีในไม่กี่วันข้างหน้าอย่างเช่นเรื่องป้าย Welcome นักศึกษาใหม่นี้
ย่อมทำให้เกิดข้อสงสัยต่อ “คุณภาพของงานการจัดการศึกษา” ของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่กว่าเรื่องงานป้ายนี้อย่างเทียบกันไม่ได้
และยิ่งมั่นใจได้ยากว่า… ไอ้ที่มาโฆษณาว่าจะทำให้นักศึกษาที่เข้ามาเรียนที่นี่ได้เป็น “คนดี มีจิตสาธารณะ และมีทักษะวิชาชีพ” ตามที่เขียนไว้ในป้ายนี้จะทำได้จริง
พูดง่าย ๆ คือ ชาวบ้านเขาไม่มีความเชื่อมั่นในถ้อยแถลงอวดอ้างสรรพคุณตัวเองที่เขียนไว้ในป้ายดังกล่าวของมหาวิทยาลัยนี้เลยแล้วกันครับ
เพราะแค่เห็นผลลัพธ์จากการติดตั้งป้ายนี้แล้ว ยังมองไม่เห็นเลยว่าจะไปทำให้คนอื่น “มีทักษะวิชาชีพ” ได้อย่างไร ก็ในเมื่อคนให้สโลแกนนี้ ก็ยังไม่มีความเชี่ยวชาญชำนาญแบบมืออาชีพที่จะจัดการแค่เรื่องป้ายนี้ให้ถูกต้องสมกับที่มีวิชาชีพทางด้าน “การศึกษา” นี้
ยกตัวอย่างเช่น จะไปทำให้นักศึกษาที่เข้ามาเรียนในสถาบันการศึกษาแห่งนี้มีทักษะวิชาชีพในสาขาที่เกี่ยวกับเรื่องของ “การบรรจุภัณฑ์ (packaging)” ได้อย่างไร ??
ก็ในเมื่อเอาป้ายที่ผิดพลาดในคอนเซ็ปต์และห้วงเวลาแบบนี้มาติดตั้ง “ด้านหน้า” ให้คนเห็น
ก็แสดงว่าสถาบันแห่งนี้กล้าเสนอ “หีบห่อ” หรือ “package” ที่แย่ ๆ ต่อผู้บริโภค
แล้วแพ็คเกจที่ไม่ดีจะไปจูงใจให้ผู้บริโภคซื้อหรือสนใจเนื้อในของสินค้าได้มากพอหรือ ??
มีแต่จะถูกผู้บริโภคหวาดระแวง สงสัย ไม่มั่นใจ จนถึงขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ถูกแพ็คเกจแย่ ๆ นั้นห่อหุ้มอยู่
ต่อให้บางครั้งตัวผลิตภัณฑ์นั้นจะดีมากก็ตาม แต่ที่สุดก็จะถูกผู้บริโภคเมินและหันไปซื้อของคู่แข่งที่มีแพ็คเกจดีกว่าและดูดึงดูดใจมากกว่าแทน
จะมีเหลือก็แต่ผู้บริโภคที่มีความจำเป็นบางอย่างและไม่มีทางเลือกอื่น...
ที่ยังต้องทนซื้อของเจ้านี้ต่อไป
“ด้านหน้า” และรอบด้านภายนอกทุกด้านของหน่วยงาน หรือ องค์การใด ก็คือ “หีบห่อ” หรือ “package” ของหน่วยงานหรือองค์การนั้น....
ไม่รู้หรือ..??
และ “หีบห่อ” หรือ “package” ของสินค้าใด ก็จะมีความสำคัญต่อการขายหรือนำเสนอสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น เทียบเท่ากับคุณภาพที่ดีของตัวสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นเลยทีเดียว...
ไม่รู้หรือ..??
ไม่รู้เชียวหรือ..ว่า..
ความรู้และวิชาการทางด้าน “การบรรจุภัณฑ์” (packaging) และ “หีบห่อ” (package) ข้างต้นนี้…เป็น “ทักษะวิชาชีพ”
แล้วอย่างนี้คือการมีทักษะวิชาชีพของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ตามที่โฆษณาไว้ในป้ายหรือ ??....
จะเรียกกันอย่างนั้นได้หรือ ??
ตอบตรงนี้ให้เลยโดยไม่ลังเลว่า ไม่ได้หรอกครับ
เพราะตราบใดที่เรายังไม่มีทักษะทางวิชาชีพจริง ๆ (จากตัวอย่างผลงานที่ปรากฎแสดงออกมาเป็นรูปธรรมให้เห็นประจักษ์แบบป้ายนี้)
จะไปทำให้คนอื่นมีทักษะทางวิชาชีพได้อย่างไรกัน ??
เบื้องต้น ตอนนี้เอาแค่ประเด็น “มีทักษะวิชาชีพ” มาคิดให้ดูเป็นตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนครับ
ส่วนอีก 2 ประเด็น คือ การเป็น “คนดี” และ “มีจิตสาธารณะ” (ที่ชวนให้สงสัยเช่นกันว่าสถาบันแห่งนี้จะสร้างได้หรือ ก็ในเมื่ออันหนึ่งไม่ได้ ก็เป็นธรรมดาที่ย่อมขาดความมั่นใจในอีก 2 อย่างที่เหลือ) จะเขียนถึงในอีกตอนหนึ่งต่างหากต่อไปครับ
วันนี้ ผมก็ผ่านแยกบ้านธาตุตามปกติอีกเช่นเคย และก็ผ่านป้ายนี้อีกเช่นเคยเหมือนกัน
แต่วันนี้ ผมมีความคิดใหม่ที่ผุดขึ้นมาเพิ่มเติมจากความคิดในวันก่อนๆที่เสนอมาแล้วข้างต้น
เป็นความคิดเชิงคำถามด้วยความสงสัยว่า
ทำไมเขายังกล้าพรีเซ็นต์ข้อความที่ขัดกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและขัดกับความสามารถแท้จริงที่เขามี..ให้สังคมรับรู้อยู่ได้ทุกวัน
คนที่ชอบพรีเซ็นต์ข้อความ
“คนดี มีจิตสาธารณะ และมีทักษะวิชาชีพ”
โดยที่ตนเองก็ยังทำไม่ได้จริง
ควรรู้สึก “อาย” คนผ่านแยกบ้านธาตุทุกวัน..บ้างนะครับ !! l
สำหรับ ตัวอย่างความคิด ลำดับที่ 2 ขอเป็นตอนต่อไปนะครับ