วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 3 : ปฐมบท (3)

 

 

รื่องที่ผมคิดเมื่อผ่านแยกบ้านธาตุและบริเวณชุมชนแห่งนี้ บางความคิดอาจเหมือนหรืออาจแตกต่างจากคนอื่นๆ ซึ่งก็เป็นปกติสามัญธรรมดาที่ต้องเป็นเช่นนั้นเองอยู่แล้ว

ความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตตามสัญชาติญาณและจิตสำนึกสามัญทั่วๆไปของมนุษย์ คงคิดเหมือนๆกัน ไม่ค่อยแตกต่างกันมาก

แต่บางด้านของความคิดที่เป็นเรื่องเฉพาะทาง คงต้องแตกต่าง ไม่เหมือนกัน เพราะทั้งโดยภูมิหลัง โดยเบ้าหลอมการใช้ชีวิตที่เติบโตมา โดยสังคมแวดล้อม และโดยอาชีพการงานที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้ความคิดเฉพาะด้านของคนเราต่างกันโดยธรรมชาติอยู่แล้วทั้งในเรื่องของฐานการคิด, หลักคิด, วิธีคิด, และประเด็นที่อยู่ในความสนใจทางความคิด

 

ดังนั้น จึงเป็นที่แน่นอนว่า ประเด็นเรื่องราวที่อยู่ในความสนใจทางความคิดของผมคงไม่เหมือนกับคนที่ผ่านแยกบ้านธาตุคนอื่น ๆ ที่อยู่ต่างสาขาอาชีพกัน

ผมคงคิดในเรื่องที่ไม่เหมือนกับ คนขายพวงมาลัย, ข้าราชการที่สายงานแตกต่างกัน, พนักงานรัฐวิสาหกิจ, ตำรวจจราจร, คนงาน,  นายธนาคาร, นายก อบต., พ่อค้า, แม่ค้า, หรือคนส่งวัว ฯลฯ ที่เคยเอ่ยอ้างเป็นตัวอย่างไว้ในตอนที่ 2 ที่ผ่านมา

DSC01428 crop  SAM_0577 crop

 

เพราะจะให้ผมไปคิดและเล่าเรื่องการทำพวงมาลัยขาย, หรือเรื่องการส่งวัว, หรือเรื่องการจัดการจราจร, หรือเรื่องธนาคาร, หรือเรื่อง อบต. ฯลฯ ผมคงทำไม่เป็น และต้องยอมแพ้อย่างราบคาบเพราะไม่มีความสามารถและอับจนหนทางที่จะนำเสนอในเรื่องราวของแวดวงอาชีพเหล่านั้น

 

แต่ผมคงคิดและทยอยสะท้อนมุมมองต่าง ๆ ผ่านในบล็อกนี้..

ไปที่เรื่องของ “การศึกษา” และ “สังคม” เป็นด้านหลัก ตามแวดวงที่ผมอยู่และเติบโตคู่กับมันมาตลอดชีวิต

 

ดังตัวอย่างความคิดของผมต่อไปนี้ครับ

 

ตัวอย่างที่ 1

 

เวลาผมผ่านป้ายต้อนรับป้ายนี้ของสถาบันการศึกษาระดับ “อุดมศึกษา” หนึ่งในจังหวัดสกลนครบริเวณแยกบ้านธาตุ

 

DSC01567 crop

 

ความคิดผมก็จะผุดขึ้นมาเป็นคำถามในใจทันทีว่า

ทำไมผ่านมาถึงป่านนี้ที่จะจบเทอม 2 แล้ว  สถาบันการศึกษาแห่งแยกบ้านธาตุเจ้านี้ ยังคงติดป้ายต้อนรับ “นักศึกษาใหม่” อยู่อีก

 

DSC01566 crop

 

ติดทิ้งค้างมายาวนาน…ตั้งแต่แรกรับนักศึกษาใหม่เข้ามาในภาคเรียนแรก และติดเรื่อยมาจนเลยช่วงเทศกาลและบรรยากาศของคำว่า Freshy ที่อยู่ในช่วงเดือนพฤษภา – มิถุนา ของภาคเรียนแรกมานานแล้ว ก็ยังคงเห็นติดอวดสายตาชาวบ้านชาวช่องแถวแยกบ้านธาตุอยู่

 

แม้จะล่วงเลยยาวข้ามปีมาถึงเจียนจะสิ้นภาคเรียนที่ 2 ในขณะนี้  ก็ไม่สนใจ ไม่รู้สึกสะทกสะท้านในการนำเสนอผลงานแบบนี้กับคนผ่านทาง

 

SAM_0803 crop

 

และมีทีท่าจะยาวไปเรื่อย ๆ โดยติดสลับกับป้ายโฆษณาอื่น ๆ

พอหมดงานป้ายโฆษณาอื่นๆ ก็เอาป้ายโฆษณางานนั้น ๆ ออก แล้วก็คงป้ายต้อนรับ “นักศึกษาใหม่” นี้ให้คนผ่านไปผ่านมาเห็นทุกวัน…จนถึงวันนี้ (29 มกราคม 2554 วันที่โพสท์บล็อกของตอนที่ 3 นี้)

 

เหมือนไม่รู้จะเอาอะไรมาติด ก็งัดเอาป้ายนี้มาติดทิ้งไว้ก่อน โดยไม่เคยดูความหมาย และไม่เข้าใจ concept ของป้ายทำนองนี้เลยว่า…

เขามีคอนเซ็ปต์และจุดมุ่งหมายกันอย่างไร เอาไว้ใช้ช่วงไหน

 

มีมหาวิทยาลัยไหนบ้างที่ดี ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ที่จะยังติดป้ายต้อนรับ “นักศึกษาใหม่” หรือ Freshy ในช่วงเวลาและบรรยากาศของการใกล้ปิดภาคเรียนที่ 2 แล้ว..แบบที่เห็นที่หน้ามหาวิทยาลัยแถวแยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร แห่งนี้

 

ผมคิดไม่ออกเลยว่า ทำไมหน่วยงานระดับสถาบันการศึกษาขั้นอุดมศึกษาและมีอายุการก่อตั้งมายาวนานกว่า 40 ปี จนถึง พ.ศ. นี้แล้ว…

ยังคง “คิด” เรื่องแบบนี้ไม่ออก ??  

ทั้งยังขาด concept ที่ถูกต้องต่อเรื่องพื้นๆ ง่าย ๆ แบบนี้…ได้ไง ??

 

ใครจะไปนึกว่า..ที่นี่..ที่เป็นถึงระดับ “มหาวิทยาลัย”

ยังแยกคอนเซ็ปต์ของคำว่า Welcome ไม่ออก ว่าอันไหนถึงจะเป็น Welcome แบบทั่วไป หรืออันไหนจึงจะเป็น Welcome แบบเฉพาะกิจ

 

ใครจะไปคาดคิดว่าระดับนี้กันแล้วยังคิดไม่ได้ว่า Welcome แบบทั่วไป ซึ่งเป็นคำกลางๆที่เห็นติดค้างไว้ทั้งปีตามสถานที่บางแห่งในความหมายทำนองของการเต็มใจต้อนรับผู้มาเยือนหรือผู้มาติดต่อหน่วยงานของเขาเป็นประจำโดยปกติวิสัยอยู่แล้ว

ต่างจาก Welcome แบบเฉพาะกิจที่ควรใช้กับบางงานและบางช่วงเวลาเท่านั้น...อย่างไร ??

 

และใครจะไปนึกไปฝันอีกว่า..ที่มหาวิทยาลัยแถวแยกบ้านธาตุนี้..จะไม่มีความรู้ว่า เวลาไหน ช่วงไหน ควรจะใช้ Welcome แบบไหนดี ???

 

นี่เล่นเอามั่วไปหมดแบบไม่เกรงใจความเชื่อมั่นของผู้ปกครองและประชาชนทั่วไปที่ผ่านไปมาหน้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ทุกวันเลยว่า

เอ๊ะ..! นี่แล้วจะมาสอนลูกหลานเราให้มีคุณภาพแท้จริงได้แน่หรือ ?

ในเมื่อตัวเองยังขาดความแม่นยำในหลักคิดและไม่เคลียร์ในคอนเซ็ปต์ทางวิชาการของตัวเองแม้แค่เรื่องเล็กๆง่ายๆอย่างเรื่อง “Welcome” นี้เลย

 

104_1089 

 

แทนที่สถาบันการศึกษาควรทำหน้าที่ถ่ายทอดสอนคนอื่นและเป็นแบบอย่างทางวิชาการให้สังคมส่วนอื่นได้มาศึกษาเรียนรู้

กลับต้องให้คนอื่นที่ผ่านไปผ่านมาแถวแยกบ้านธาตุต้องมาสอน มาแนะสถาบันการศึกษาในเรื่องคอนเซ็ปต์และหลักคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ให้แทน

เฮ้อ..! กลับหัวกลับหางกันไปหมดเลยนะ...สังคมไทยเดี๋ยวนี้...!!

 

เรื่องทำนองนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนาน ๆ ที และไม่ใช่เรื่องของความพลั้งเผลอ หรือเป็นเรื่องที่ error แบบชั่วครั้งชั่วคราว ที่จะมาชอบใช้เพียงแค่ “คำพูด” เอ่ยอ้างแก้ต่างในท่วงทำนองนี้ว่า…

 

“มันก็ต้องมีผิดพลาด... หลง ๆ ลืม ๆ กันบ้าง... นิด ๆ หน่อย ๆ...

แล้วก็แล้วกันไป... เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ไม่มีอะไร ไม่ต้องซีเรียส...

ทำใจให้สบาย ๆ... อย่าคิดมาก.. ช่างมันเถอะ... ฯลฯ”

 

 

 ขอแทรกความคิดโต้แย้งคำพูดทำนอง..

 

“มันก็ต้องมีผิดพลาด... หลง ๆ ลืม ๆ กันบ้าง...

นิด ๆ หน่อย ๆ... แล้วก็แล้วกันไป... เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง

ไม่มีอะไร ไม่ต้องซีเรียส... ทำใจให้สบาย ๆ...

อย่าคิดมาก.. ช่างมันเถอะ... ฯลฯ”

 

ไว้ตรงนี้ก่อนหน่อยนะครับ..ก่อนไปว่าเนื้อหากันต่อ...

 

 

 

กับคำพูดของบางคนที่ชอบพูดง่าย ๆ เช่นข้างต้น โดยไม่ดูว่ากำลังอยู่ในบริบทใดของปัญหา... ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า....

บ้านเมืองเราที่ยังล้าหลัง ก็เพราะสร้างคนให้มีนิสัยที่ชอบแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วย “ปาก” แบบนี้…

มาประดับไว้ในสังคมไทยมากเกินไป !

 

คนที่คิดว่าแค่ใช้ปาก ใช้คำพูดแบบข้างต้นแล้วก็แก้ปัญหาได้..และปัญหาทุกอย่างก็จบแล้ว..หมดหน้าที่ของตัวเองแล้ว.. ภารกิจของตัวเองได้ลุล่วงแล้ว ทั้งตัวเองก็ได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และยิ่งใหญ่..หลังการใช้ปากแก้ปัญหาด้วยการหลุดคำพูดสวยหรูทิ้งไว้ให้แล้ว...นั้น...

มีมากเกินไปในวัฒนธรรมการทำงานเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองของเราจริง ๆ

จนเป็นอุปสรรคขัดขวาง ถ่วงรั้ง และเป็นตัวปัญหาใหญ่ต่อความเจริญก้าวหน้าของบ้านเรามาก ๆ 

 

คน “กลวงๆ” พวกนี้ หาความลึกซึ้งลุ่มลึกทางความคิดได้ยาก จึงไม่เคยคิดคำนึงถึงบริบทและองค์ประกอบด้านอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ เช่น :

 

1. องค์ประกอบด้านความยาก-ง่ายของปัญหา

ปัญหาที่เป็นเรื่องง่ายๆที่ไม่ควรจะผิดพลาดอย่างเรื่องคอนเซ็ปต์ของป้ายนี้ก็ไม่ควรทำผิดแล้วมาใช้ปากพูดแก้ตัวง่ายๆเพื่อปัดสวะให้ตัวเองพ้นความรับผิดชอบได้ทั้งที่เป็นปัญหาที่ไม่ยากและสลับซับซ้อนอะไรเลย

เรื่องยาก ๆ ก็ว่าไปอย่าง

 

2. องค์ประกอบด้านความถี่ของการทำผิดพลาด

การทำผิดซ้ำซากในเรื่องทำนองเดิมๆ หรือเกิดขึ้นประจำยาวนานต่อเนื่อง เป็นปี ๆ และเป็นหลาย ๆ ปี ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หรือการพลั้งเผลอชั่วครั้งชั่วคราว ที่จะคิดใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยปากเพียงแค่การบอกว่า

“มันก็ต้องมีผิดพลาด... หลง ๆ ลืม ๆ กันบ้าง... นิด ๆ หน่อย ๆ... แล้วก็แล้วกันไป... เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง ไม่มีอะไร ไม่ต้องซีเรียส... ทำใจให้สบาย ๆ... อย่าคิดมาก.. ช่างมันเถอะ.... ฯลฯ”

แล้วจะให้คนยอมรับได้อย่างสนิทใจ

และให้คนเออออเห็นพ้องด้วยว่าการแก้ไขปัญหาในสถาบันนี้ได้จบลงเรียบร้อยแฮปปี้เอ็นดิ้งแล้วด้วย “ปาก” ด้วย “คำพูด” ไม่กี่คำและจากคนไม่กี่คนที่ใจกล้าหน้าด้านกล้าออกมาพูดถ้อยคำมักง่ายที่ผิดบริบทแบบนี้มากกว่าคนอื่นในสังคม..อย่างนั้นหรือ..??

มันจะง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ..??

 

ยังคิดสงสัยไม่หายว่าอะไรไปดลบันดาลใจให้คนกลวงๆพวกนี้ฉุกคิดไม่ออกว่า

ตราบใดที่ไม่ได้ลงมือแก้ไขปัญหานั้นด้วยการกระทำอย่างเอาใจใส่จริงจังและทำงานหนัก ตัวปัญหาเดิมนั้นก็ยังคงอยู่

ไม่ได้หายไปกับคำพูดจากปากของตนเพียงไม่กี่คำเหล่านั้นเลย

 

และถ้าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ด้วยคำพูดแบบของตนเองแล้ว โลกนี้ก็ไม่ต้องการนักบริหาร หรือคนทำงานที่ต้องฝึกฝนทักษะ ความรู้ ความสามารถอะไรเลยก็ได้

เพราะใช้ใครแบบไหน ระดับไหน ก็ไม่ต่างกัน ใช้ปากพูดเป็นกันทั้งนั้น

 

และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ก็ต้องถูกยุบทิ้งให้หมด

เพราะหมดความจำเป็นที่จะใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกฝนคนให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ

เพื่อนำไปใช้กับการแก้ปัญหาจริงในการทำงานให้เกิดบรรลุผลดีและเป็นประโยชน์มากที่สุดต่อการพัฒนาสังคมเสียแล้ว

อันเนื่องมาแต่ปัญหาทุกอย่างสามารถถูกแก้ไขได้ง่าย ๆ แล้วด้วยปาก ด้วยคำพูด

 

ซึ่งเมื่อมันเป็นเรื่องที่ง่าย ๆ แบบนี้

ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีสถาบันการศึกษาไว้สำหรับทำหน้าที่ฝึกเรื่องง่าย ๆ พวกนี้อีกต่อไป

ใคร ๆ ก็ทำกันเองได้  l

 

 

แต่ในรอบสิบปีมานี้ เรื่องแบบนี้..ทำนองนี้จะเกิดขึ้นตลอดเป็นประจำให้คนผ่านแยกบ้านธาตุได้เห็นอยู่เสมอจนชินตา และจนกลายเป็นสิ่งปกติวิสัยของสถาบันการศึกษาแห่งนี้

เมื่อเป็นเรื่องที่ปล่อยปละละเลยให้เกิดขึ้นประจำและเป็นมาช้านานไม่ใช่เพิ่งเกิดมาวันสองวัน

แสดงว่า การเอาใจใส่ การสนใจ การติดตาม และความละเอียดรอบคอบถี่ถ้วนในการทำงานและการบริหารจัดการองค์การต่ำ..ถึงต่ำมาก

 

และข้อสำคัญ คือการสะท้อนว่า

Concept ต่อเรื่องการทำงานต่างๆขององค์การแห่งนี้ ไม่ clear เลย

 

และถ้า concept ในเรื่องที่เป็นงานระดับง่ายๆแบบนี้ก็ยังไม่ clear และกล้าปล่อยออกมาเผยแพร่ให้ปรากฎต่อคนที่ผ่านแถวแยกบ้านธาตุนี้ทุกวันมายาวนานหลายเดือนติดต่อกันจนจะครบปีในไม่กี่วันข้างหน้าอย่างเช่นเรื่องป้าย Welcome นักศึกษาใหม่นี้

ย่อมทำให้เกิดข้อสงสัยต่อ “คุณภาพของงานการจัดการศึกษา” ของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ซึ่งเป็นเรื่องยิ่งใหญ่กว่าเรื่องงานป้ายนี้อย่างเทียบกันไม่ได้

 

และยิ่งมั่นใจได้ยากว่า… ไอ้ที่มาโฆษณาว่าจะทำให้นักศึกษาที่เข้ามาเรียนที่นี่ได้เป็น “คนดี มีจิตสาธารณะ และมีทักษะวิชาชีพ” ตามที่เขียนไว้ในป้ายนี้จะทำได้จริง

 

DSC01492 crop

 

พูดง่าย ๆ คือ ชาวบ้านเขาไม่มีความเชื่อมั่นในถ้อยแถลงอวดอ้างสรรพคุณตัวเองที่เขียนไว้ในป้ายดังกล่าวของมหาวิทยาลัยนี้เลยแล้วกันครับ

เพราะแค่เห็นผลลัพธ์จากการติดตั้งป้ายนี้แล้ว ยังมองไม่เห็นเลยว่าจะไปทำให้คนอื่น “มีทักษะวิชาชีพ” ได้อย่างไร ก็ในเมื่อคนให้สโลแกนนี้ ก็ยังไม่มีความเชี่ยวชาญชำนาญแบบมืออาชีพที่จะจัดการแค่เรื่องป้ายนี้ให้ถูกต้องสมกับที่มีวิชาชีพทางด้าน “การศึกษา” นี้

 

ยกตัวอย่างเช่น จะไปทำให้นักศึกษาที่เข้ามาเรียนในสถาบันการศึกษาแห่งนี้มีทักษะวิชาชีพในสาขาที่เกี่ยวกับเรื่องของ “การบรรจุภัณฑ์ (packaging)” ได้อย่างไร ??

ก็ในเมื่อเอาป้ายที่ผิดพลาดในคอนเซ็ปต์และห้วงเวลาแบบนี้มาติดตั้ง “ด้านหน้า” ให้คนเห็น

ก็แสดงว่าสถาบันแห่งนี้กล้าเสนอ “หีบห่อ” หรือ package ที่แย่ ๆ ต่อผู้บริโภค

แล้วแพ็คเกจที่ไม่ดีจะไปจูงใจให้ผู้บริโภคซื้อหรือสนใจเนื้อในของสินค้าได้มากพอหรือ ??

มีแต่จะถูกผู้บริโภคหวาดระแวง สงสัย ไม่มั่นใจ จนถึงขาดความเชื่อมั่นในคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ถูกแพ็คเกจแย่ ๆ นั้นห่อหุ้มอยู่

 

ต่อให้บางครั้งตัวผลิตภัณฑ์นั้นจะดีมากก็ตาม แต่ที่สุดก็จะถูกผู้บริโภคเมินและหันไปซื้อของคู่แข่งที่มีแพ็คเกจดีกว่าและดูดึงดูดใจมากกว่าแทน

จะมีเหลือก็แต่ผู้บริโภคที่มีความจำเป็นบางอย่างและไม่มีทางเลือกอื่น...

ที่ยังต้องทนซื้อของเจ้านี้ต่อไป

 

“ด้านหน้า” และรอบด้านภายนอกทุกด้านของหน่วยงาน หรือ องค์การใด ก็คือ “หีบห่อ” หรือ package ของหน่วยงานหรือองค์การนั้น....

ไม่รู้หรือ..??

 

และ “หีบห่อ” หรือ package ของสินค้าใด ก็จะมีความสำคัญต่อการขายหรือนำเสนอสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้น เทียบเท่ากับคุณภาพที่ดีของตัวสินค้าหรือผลิตภัณฑ์นั้นเลยทีเดียว...

ไม่รู้หรือ..??

 

ไม่รู้เชียวหรือ..ว่า..

ความรู้และวิชาการทางด้าน “การบรรจุภัณฑ์” (packaging) และ “หีบห่อ” (package) ข้างต้นนี้…เป็น “ทักษะวิชาชีพ”

 

แล้วอย่างนี้คือการมีทักษะวิชาชีพของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ตามที่โฆษณาไว้ในป้ายหรือ ??....

จะเรียกกันอย่างนั้นได้หรือ ??

 

ตอบตรงนี้ให้เลยโดยไม่ลังเลว่า ไม่ได้หรอกครับ

เพราะตราบใดที่เรายังไม่มีทักษะทางวิชาชีพจริง ๆ (จากตัวอย่างผลงานที่ปรากฎแสดงออกมาเป็นรูปธรรมให้เห็นประจักษ์แบบป้ายนี้)

จะไปทำให้คนอื่นมีทักษะทางวิชาชีพได้อย่างไรกัน ??

 

 

เบื้องต้น ตอนนี้เอาแค่ประเด็น “มีทักษะวิชาชีพ” มาคิดให้ดูเป็นตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนครับ

ส่วนอีก 2 ประเด็น คือ การเป็น “คนดี” และ “มีจิตสาธารณะ” (ที่ชวนให้สงสัยเช่นกันว่าสถาบันแห่งนี้จะสร้างได้หรือ ก็ในเมื่ออันหนึ่งไม่ได้ ก็เป็นธรรมดาที่ย่อมขาดความมั่นใจในอีก 2 อย่างที่เหลือ) จะเขียนถึงในอีกตอนหนึ่งต่างหากต่อไปครับ

 

 

 

วันนี้ ผมก็ผ่านแยกบ้านธาตุตามปกติอีกเช่นเคย และก็ผ่านป้ายนี้อีกเช่นเคยเหมือนกัน

แต่วันนี้ ผมมีความคิดใหม่ที่ผุดขึ้นมาเพิ่มเติมจากความคิดในวันก่อนๆที่เสนอมาแล้วข้างต้น

เป็นความคิดเชิงคำถามด้วยความสงสัยว่า

 

ทำไมเขายังกล้าพรีเซ็นต์ข้อความที่ขัดกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและขัดกับความสามารถแท้จริงที่เขามี..ให้สังคมรับรู้อยู่ได้ทุกวัน

 

คนที่ชอบพรีเซ็นต์ข้อความ

“คนดี มีจิตสาธารณะ และมีทักษะวิชาชีพ”

โดยที่ตนเองก็ยังทำไม่ได้จริง

 

ควรรู้สึก “อาย” คนผ่านแยกบ้านธาตุทุกวัน..บ้างนะครับ !!   l

 

 

 

 

สำหรับ ตัวอย่างความคิด ลำดับที่ 2 ขอเป็นตอนต่อไปนะครับ