วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ 9 : พาไปดูว่า..เขามีวิธีการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงานคนเป็นอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแถวแยกบ้านธาตุ..กันอย่างไร?..(ภาค 1)

 

 

ช่วงนี้..ที่สกลนคร มีห้างค้าวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่สไตล์โมเดิร์นเทรด  เกิดขึ้นใหม่พร้อม ๆ กันหลายเจ้าครับ

เท่าที่เห็นขณะนี้..ก็มีอยู่ 3 เจ้ายักษ์ใหญ่ในวงการนี้ คือ ไทวัสดุ, โฮมโปร, และ โกลบอลเฮ้าส์

 

IMG_8966  IMG_9381

 

“ไทวัสดุ” เปิดตัวไปแล้วก่อนเพื่อนเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2554

ตามมาด้วย “โฮมโปร” ที่เปิดไปเมื่อ 16 ธันวาคม 2554

(ข้อมูลจากป้ายโฆษณาที่เห็นได้ทุกถนนของเมืองสกลนครในช่วงนี้ครับ)

 

           IMG_9155  IMG_9640

 

ส่วน “โกลบอลเฮ้าส์” ข่าวว่าจะเปิดได้ในปี 2555  เคยผ่านไปเมื่อไม่นานมานี้ เห็นกำลังก่อสร้างอยู่ครับ

 

IMG_9850

 

เห็นแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ครับ..ว่า.. บทจะเกิด “การเปลี่ยนแปลง” ขึ้นในจังหวัดของเรา.. ก็มีความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างรวดเร็วและแตกต่างจากของเดิม ๆ ที่เคยมีอยู่มาช้านานจริง ๆ…

จากบ้านเมืองที่เคยนิ่ง ๆ ยาวนานเป็นสิบ ๆ ปี พอถึงเวลาพลิกโฉมเปลี่ยนแปลง ก็เกิดขึ้นได้อย่างพร้อมกันปุ๊บปั๊บและภายในช่วงเวลาเพียงปีสองปีแค่นั้นเองครับ

เห็นว่าอีก 2-3 ปี หรือภายใน 5 ปีข้างหน้า ก็จะยิ่งมีความเปลี่ยนแปลงทางวัตถุและโครงสร้างทางเศรษฐกิจของภาคเมืองในลักษณะที่นิยมเรียกกันว่า “ความเจริญ” เกิดขึ้นในสกลนครเราอีกหลายอย่าง หลายกิจการ และหลายโครงการด้วยกันครับ ซึ่งเกือบทั้งหมดได้ยินว่าส่วนใหญ่จะมาจากทุนส่วนกลางหรือทุนกรุงเทพฯนั่นแหละครับ (ส่วนจะมีทุนข้ามชาติร่วมด้วยหรือไม่นั้น ก็คงแล้วแต่ประเภทกิจการครับ) ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น คงต้องรอดูกันไปก่อนครับ เพราะในโลกของธุรกิจแล้ว แผนการต่าง ๆ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดตามสถานการณ์แต่ละขณะครับ

 

319091_2340237063863_1188025035_2838023_7574640_n 

392148_177350832359790_100002546227950_334246_1017938288_n

 

คิดถึงเรื่อง “ความเปลี่ยนแปลง” บ่อย ๆ และมาก ๆ ก็ดีไปอย่างครับ  จิตจะได้น้อมนำไปสัมผัสกับเรื่องความเป็น “อนิจจัง” อย่างแนบแน่นใกล้ชิดมากขึ้น ทั้งความเป็นอนิจจังของชีวิตและความเป็นอนิจจังของสังคม..

เพราะบางทีพอไม่ค่อยได้มีเวลาระลึกถึงและไม่ได้เห็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงนานเข้า ก็ทำให้ลืมคิด..ลืมนึกถึงเรื่องของ “อนิจจัง” ในชีวิตประจำวันไปเหมือนกันครับ

 

และนอกจากความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองที่เห็นมาข้างต้นจะทำให้ผมคิดไปถึงเรื่องความเป็นอนิจจังของชีวิตและสังคมแล้ว… 

ก็ยังทำให้ผมได้คิดไปถึงอีกเรื่องหนึ่งด้วยครับ…IMG_9368

เป็นความคิดในขณะที่ผมขับรถผ่านบริเวณพื้นที่ตั้งของห้างค้าวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เกิดใหม่ในจังหวัดของเราเหล่านี้..

ที่ผ่านไปทีไร ก็อดเกิดความคิดและตั้งคำถามในใจกับตัวเองไม่ได้ว่า

ทำไมกิจการภาคเอกชนเหล่านี้ถึงได้ขยายตัวเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และมีสาขาจนแทบจะครอบคลุมไปทั่วทุกจังหวัดในประเIMG_9201ทศ ?

และห้างใหญ่ ๆ หรือบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ต่าง ๆ เหล่านี้..เขามีวิธีการ..ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงาน..กิจการ หรือองค์การของตัวเองกันอย่างไร..

ถึงได้..โตเอา..โตเอา..

และ ขยายกิจการ..ขยายสาขาเอา..ขยายเอา.. ??

 

ผมไม่ได้คิดเอาเอง..เรื่องการเติบโต และการขยายตัวไปอย่างไม่หยุดยั้งของกิจการเหล่านี้..

ผมมีข้อมูลของจริงมายืนยันในเรื่องนี้ครับ.. ขอยกมาแสดงแค่บางตัวอย่างเพื่อประหยัดเวลานะครับ.. ที่เหลือ..ลองเข้าไปหาข่าวเศรษฐกิจดูกันเองเพิ่มเติมได้จากสื่อทุกชนิดครับ..มีเยอะครับ

 

ลองดูข้อมูลจากข่าวเศรษฐกิจที่ผ่านมา 2-3 ข่าวนี้..เป็นตัวอย่างครับ

 

โฮมโปร เผยผลประกอบการ 9 เดือน 2554 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 26.24% กวาดยอดขายทะลุสองหมื่นล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 19.54% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ยืนยันเดือน ธ.ค. เปิดสาขาสกลนคร เป็นเครือข่ายแห่งที่ 45 แน่นอน

นายคุณวุฒิ  ธรรมพรหมกุล   กรรมการผู้จัดการ  บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปรผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัดสุและอุปกรณ์การตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึงผลดำเนินการสำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2554 ว่า

บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 1,387.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 288.38 ล้านบาท หรือ 26.24% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย ทั้งสิ้น 20,672.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2553 จำนวน 3,379.02 ล้านบาท หรือ 19.54% การเพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นผลเนื่องจากการเติบโตของสาขาเดิม และการเปิดสาขาใหม่ โดยการเติบโตของยอดขายดังกล่าว สูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทฯตั้งไว้

สำหรับแผนงานในการขยายสาขานั้น บริษัทยังคงยืนยันในการเปิดสาขาสกลนคร ในช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ เพื่อให้เป็นเครือข่ายสาขาแห่งที่ 45 ของโฮมโปร 

นายคุณวุฒิ กล่าวในที่สุด”

(จากลิงค์ข่าวเหล่านี้ครับ :

http://www.corehoononline.com/index.php/โฮมโปร-โชว์ยอดขาย-9-เดือนขยายตัว-19.54.html

http://www.prachachat.net/old/view_news.php?newsid=02rea04211154&sectionid=0217&day=2011-11-21

http://www.ryt9.com/s/prg/1276538)

 

อีกข่าวหนึ่งครับ...

 

“โฮมโปร ประกาศคงราคาสินค้าไปถึงสิ้นปี เตรียมจับมือ กระทรวงพาณิชย์ สัปดาห์หน้าจัดงานลดราคาสินค้าหลังน้ำท่วม เผยยอดขายไตรมาส 4 โตแค่ 10% จากเป้าที่วางไว้ 15% เหตุเจอผลกระทบน้ำท่วม แต่ทั้งปี (2554) มั่นใจโตตามเป้า 15%  สำหรับ ปีหน้า (2555) เล็งเปิดใหม่ 8-10 สาขา

(จาก :  http://www.thairath.co.th/content/eco/220072)

 

และอีกหนึ่งข่าวนี้ครับ...

 

“การที่บริษัทเดินหน้าขยายสาขาร้านไทวัสดุมากขึ้น มาจากแนวโน้มของตลาดวัสดุก่อสร้างที่มีมูลค่า 50,000 ล้านบาท เริ่มมีการเติบโตขึ้นตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งในปี 2554 บริษัทคาดว่าตลาดวัสดุก่อสร้างจะเติบโต 10%  ส่วนผลประกอบการโดยรวมของบริษัทก็คาดว่าจะเติบโต 10% หรือมูลค่า 4,800 ล้านบาท แบ่งเป็นโฮมเวิร์ค 3,900 ล้านบาท ไทวัสดุ 900 ล้านบาท”

(จาก :  http://www.ryt9.com/s/nnd/1122124)

 

 

เห็นทั้งของจริงที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตากับสาขาที่เปิดขึ้นใหม่ของกิจการขนาดใหญ่ต่าง ๆ ในสกลนคร และเห็นทั้งข้อมูลจริงที่เปิดเผยต่อสาธารณะตามข่าวข้างต้นแล้ว.. ความคิดผมกลับไม่ได้ไปสนใจอยู่ที่เรื่อง “ความเจริญ” ของจังหวัดในช่วงนี้อย่างที่ผมได้ยินคนส่วนใหญ่ชอบพูดคุยเวลาเจอกัน…

 

เท่าที่ผมเจอะเจอมานานในสังคมไทย..

เกือบร้อยทั้งร้อยของผู้คนจะคิดและพูดถึงการมีห้างขนาดใหญ่ ๆ หรือการมีกิจการสมัยใหม่ทุกประเภทเกิดขึ้นในท้องถิ่นใดว่า..

คือ ความเจริญ ของท้องถิ่นนั้น..

 

ด้วยความหมายที่หนักไปทางนี้ด้านเดียว และเป็นความหมายที่เข้าไปอยู่ในกระแสธารความคิดของคนส่วนใหญ่แทบทั้งหมดในสังคมไทยมาอย่างช้านานนี่เอง.. ทำให้ช่วงนี้ผมจึงได้ยินได้ฟังแต่ผู้คนทั้งในและนอกจังหวัดของเราบอกผมว่า..

สกลนคร เจริญขึ้น..

 

ที่จริง ผมก็เห็นด้วยกับคำกล่าวที่บอกว่าจังหวัดของผมเจริญขึ้น

ทั้งยังอดรู้สึกดีใจด้วยเป็นธรรมดาที่ได้ยินการกล่าวขานกันว่าท้องถิ่นของตัวเองมีความเจริญ..

 

แต่ถึงแม้ผมจะเห็นด้วยกับคำกล่าวของคนส่วนใหญ่ในเรื่องความเจริญขึ้นของจังหวัดสกลนครของผมก็ตาม.. ก็ไม่ใช่เห็นด้วยทั้งหมดครับ..!

เพราะคำว่า “ความเจริญ” กับคำว่า “การพัฒนา” บ้านเมืองนั้น..ไม่เหมือนกันทีเดียวครับ

และเพราะว่าสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดและพูดเรื่อง “ความเจริญ” ออกมาเช่นที่ได้ยินกันทั่วไปนั้น เป็นแค่เพียงการวัดความเจริญของบ้านเมืองออกมาได้เพียงแค่ส่วนเดียว

และยังวัดออกมาด้วยปัจจัยของความเจริญเพียงแค่ใช้องค์ประกอบด้านเดียว..คือด้าน.. “การมี”..และ..“การเกิดขึ้น”..ของตัวโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ๆ หรือกิจการสมัยใหม่ต่าง ๆ..เท่านั้นเองครับ

 

ผมเห็นว่า.. การมี..และการเกิดขึ้นของสิ่งก่อสร้างใหญ่ ๆ และทันสมัยเหล่านี้..เป็นตัวบ่งบอกความเจริญของบ้านเมืองได้แน่นอนครับ..

และสามารถใช้เป็นดัชนีชี้วัดว่าบ้านเมืองใด หรือท้องถิ่นใด.. “เจริญ” หรือ “ไม่เจริญ”..ได้ส่วนหนึ่งเช่นกัน..

แต่คงยังไม่พอครับ..

ลำพังการใช้เรื่องนี้แต่เพียงอย่างเดียวไม่สามารถวัดความเจริญโดยรวมของบ้านเมืองออกมาได้ครบสมบูรณ์รอบด้านทั้งหมดอย่างแท้จริงครับ

 

เอาไว้ว่าง ๆ.. ผมตั้งใจจะคิดเรื่อง “ความเจริญ” ของท้องถิ่นออกมาเป็นตัวหนังสือให้อ่านกันอย่างละเอียดเลยครับ..ว่า...

ที่บอก ๆ กันว่าบ้านเมืองเรา “เจริญ” ขึ้นนั้น..

จริงหรือไม่ ?..,

และเราสามารถวัดความเจริญของท้องถิ่นใดโดยดูจากการมีวัตถุสิ่งปลูกสร้างใหญ่ ๆ วัสดุอุปกรณ์สมัยใหม่ เทคโนโลยีทันสมัย ฯลฯ แต่เพียงอย่างเดียวได้หรือไม่ ?..,

และสมควรหรือไม่..เหมาะสมหรือไม่..ที่เราจะเอาแค่เฉพาะเรื่องของการมีสิ่งเหล่านี้มาใช้เป็นเครื่องวัดเรื่องของ “ความเสื่อม-ความเจริญ” ให้กับการพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของเรา..

แต่เพียงมิติเดียว..!!..???  l

 

 

แต่ผมกลับไปครุ่นคิดในอีกเรื่องหนึ่งครับ..

ผมกลับคิดสงสัยใคร่รู้ว่า.. บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ระดับชาติที่มาเปิดกิจการ ขยายสาขาในจังหวัดสกลนครของเราเหล่านี้..(ความคิดได้เลยรวมไปถึงกิจการขนาดกลางและเล็กของภาคเอกชนทั้งภายในท้องถิ่นจังหวัดของเราและทั่วทั้งประเทศด้วย)..นั้น.. เขา..ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงาน กิจการหรือองค์การของตนกันยังไง ??

เขาใช้วิธีการและเครื่องมือในการประเมินผลงานโดยรวมขององค์การและผลการประกอบการของพวกเขากันยังไง..??..ถึงเติบโต ขยายกิจการ สยายปีกเพิ่มสาขาของตนไปในพื้นที่ต่าง ๆ ได้เรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดไม่หย่อนเช่นนี้

 

และแน่นอนครับว่า.. ความคิดที่ไหลตามต่อเนื่องกันมาของผม อดที่จะเป็นความคิดเชิงนำไปเปรียบเทียบกับของ “ภาคราชการ” ไม่ได้..ว่า.. แล้วการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงานของภาคเอกชนเหล่านั้น..เหมือน..หรือ..ต่าง..จากของภาคราชการ..อย่างไรบ้าง..??

ทำไมกิจการและองค์กรของเขาถึงเติบโตและขยายสาขาไปได้อย่างดี ในขณะที่เทียบกับองค์กรภาคราชการบางแห่ง ตัวอย่างเช่104_3196น สถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยที่ชื่อ “ราชภัฏสกลนคร”...  

ทำไม..แค่การขยายกิจการไปเปิดสาขาเดียวในจังหวัดมุกดาหารเพียงพื้นที่เดียว..ก็ยังไปไม่รอด..!!..??..

ต้องปิดสาขา ล้มเลิกกิจการ ซมซาน กลับมาตายรัง กินบุญเก่าอยู่แยกบ้านธาตุที่เดิมที่เดียว..!

(ผมเพิ่งได้รับรู้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเรื่องสาขามุกดาหาร.. แต่ผมยังไม่มีเวลาตามข้อมูลรายละเอียดในเรื่องนี้เพิ่มเติมครับ – เดี๋ยวถ้ามีข้อมูลสมบูรณ์มากขึ้น จะได้นำมาเล่าและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นเรื่องสาขามุกดาหารนี้อย่างเต็มที่ในตอนต่อ ๆ ไปนะครับ) 

 

การตรวจเยี่ยมการจัดการศึกษานอกที่ตั้ง (Peer Visit) ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ณ ศูนย์อุดมศึกษามุกดาหาร ประจำปี พ.. 2554

เมื่อวันที่ 2-4 กันยายน 2554 ที่ผ่านมา คณะผู้ตรวจเยี่ยม Peer Visit จากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ประกอบด้วย

รองศาสตราจารย์ ดร.บวร ปภัสราทร (ผู้แทน กกอ.) นายธีรวุฒิ เจริญราษฎร์ (กรรมการสภามหาวิทยาลัย) รองศาสตราจารย์พินิจ หวังสมนึก (ประธาน IQA) และฝ่ายเลขานุการฯ

ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการจัดการศึกษานอกที่ตั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร

ณ ศูนย์อุดมศึกษามุกดาหาร วิทยาลัยการอาชีพนวมินทราชินีมุกดาหาร

และห้องเรียนบัณฑิตศึกษา ห้องประชุมศาลาเรารักมุกดาหาร อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร... l

 

 

หรือ..แค่สาขาเดียว..อย่าง..“ภูพานเพลซ”..อีกกิจการหนึ่งของ “ราชภัฏสกลนคร”..(เป็นกิจการที่มีฟังก์ชั่นเหมือนโรงแรม ดำเนินกิจการหรือมีธุรกิจจริงในการให้บริการด้านต่าง ๆ เช่นเดียวกับที่โรงแรมทั่วไปมี)...

IMG_9912

ที่ยังไม่ต้องพูดถึงการขยายกิจการให้ตัวเองเติบโตพัฒนาก้าวหน้าขึ้น..

และมีความสามารถเชิงการแข่งขัน (Competitiveness) ในโลกแห่งความเป็นจริงเหมือนคนอื่นเขาได้เลยครับ...

แค่ถามถึงการดำรงรักษาสถานะการประกอบการไว้ไม่ให้เสื่อมทรุดไปจากเดิมและการเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องเอาเงินส่วนรวมของคนทั้งองค์กรไปอุดหนุน..

ก็ไปไม่เป็นแล้วครับ..!!..

 

(ไม่รู้ว่าที่สถาบันการศึกษาแห่งนี้เขามี “ทักษะวิชาชีพ” ตามการโฆษณาชวนเชื่อของอธิการบดีคนปัจจุบันนี้..แบบภาษาอะไรของเขาก็ไม่ทราบครับ.. ที่มี “ทักษะ” มากเหลือเกิน.. มากจนทำให้ “วิชาชีพ” ทางการ “บริหารธุรกิจ” ในกิจการที่พักแรมของตัวเองตกอ100_9491ยู่ในสภาพทรุดโทรม..จน Down และ Low ลงไปเรื่อย ๆ แบบที่เห็นกันครับ..!!..

และจนกลายเป็น “ภาระ” ให้กับองค์กรมหาวิทยาลัย..แทนที่จะเป็น “พลัง” ค้ำชูเกื้อหนุนองค์กร..อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้.. –

สำหรับเรื่อง “ภูพานเพลซ” นี้.. ผมต้องวิพากษ์วิจารณ์เพิ่มเติมอย่างละเอียดแน่นอนครับ.. โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเบื้องหลังการบริหารงานของอธิการบดีคนปัจจุบันที่เป็นตัวการสำคัญในการทำให้ “ภูพานเพลซ” ต้องล้มเหลว..ถดถอยล้าหลัง..และโทรมลงไปเรื่อย ๆ..  – ขอเวลาอีกหน่อยครับ)

 

ที่ผมต้องเกิดความคิดและคำถามต่าง ๆ อยู่หลายความคิดและหลายคำถามดังที่ผ่านมาข้างต้นเหล่านั้นรวมกัน.. ก็เพราะเมื่อวันก่อน..ผมได้รับเอกสารขอให้ตอบแบบสอบถามจาก คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงาน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประจำปี 2554

เป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของอาจารย์ที่มีต่อการบริหารงานของคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ไล่เรียงตั้งแต่ตัวคนเป็น “อธิการบดี” ลงมาถึง “ผู้บริหารระดับรอง ๆ” ลดหลั่นตามกันมาเรื่อย ๆ

แต่ดูจากเอกสารแบบสอบถามนี้แล้ว..น้ำหนักจะเน้นไปที่ “อธิการบดี” เป็นหลัก

 

CCF29112554_00003

 

หลังจากที่ผมได้พลิก ๆ ดูเนื้อหาในเอกสารแบบสอบถามจำนวน 8 หน้าจบแล้ว.. บอกตามตรงว่ารู้สึก..“เบื่อ”..!!

เป็นความรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างบอกไม่ถูกกับวิธีการประเมินผลการปฏิบติงานใน “รูปแบบ” ทำนองนี้ และด้วย “เนื้อหา” ลักษณะนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อได้นึกถึงการทำซ้ำแบบ “เดิม ๆ” ที่กี่ปีกี่ชาติก็ทำกันแบบนี้ ผ่านมานานแค่ไหน ก็ยังมาพบเจอะเจอแต่วิธีการประเมินฯรูปแบบเดิม ๆ และด้วยเครื่องมือเดิม ๆ แบบนี้ ยิ่งเป็นเหตุแห่งความเบื่ออย่างยิ่งยวด

 

อันที่จริง ผมจะไม่มีวันเบื่อเลย ถ้าใช้วิธีการในรูปแบบและเนื้อหาเดิม ๆ แล้วผลลัพธ์มันออกมาดีจริง..

ทั้งถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณภาพตามที่ควรจะเป็นจนสามารถยอมรับกันได้ในระดับแห่งความเป็น “สถาบันอุดมศึกษา”

ถ้าผลที่เกิดขึ้นนั้นมันดีจริง..เป็นประโยชน์ต่อองค์กร, สังคม, ชุมชน, และผู้คนจริง ๆ.. ต่อให้ใช้วิธีการเดิม ๆ, เนื้อหาเดิม ๆ, หรือ รูปแบบเดิม ๆ..

ใครจะมีสิทธิ์ไปเบื่อ.. และใครก็ไม่ควรมีสิทธิเบื่อด้วยครับ !

 

แต่ถ้าผลมันตรงข้าม แล้วยังไม่รู้จักเบื่อกัน ก็ผิดปกติกันแล้วละครับ

เพราะมันจะไม่มีทางเกิดการพัฒนาสร้างสรรค์ไปสู่สิ่งใหม่ ๆ หนทางใหม่ ๆ เส้นทางใหม่ ๆ และการค้นหาสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมให้กับสังคม, ประเทศชาติ, และโลกใบนี้..ได้เลย

 

การเบื่อในสิ่งที่ไร้แก่นสาร จึงจะเป็นต้นธารแห่งการงอกเงยไปสู่การแสวงหาพัฒนาสิ่งใหม่ที่เป็นแก่นสารและเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแก่มนุษยชาติมากกว่าครับ

ไปดูที่มาของการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ในโลก จากอัตชีวประวัติของศาสดา, ศิลปิน, นักปราชญ์, นักคิด, นักประดิษฐ์, นักบุกเบิก, และนักธุรกิจคนสำคัญ ๆ ของโลกกันเถิดครับ ไม่มีใครที่มีจิตวิญญาณของการทำในสิ่งเดิม ๆ ที่ไม่ได้ผลแล้วยังทนทำซ้ำไปเรื่อย ๆ โดยไม่เบื่อเลย..สักคนครับ

 image

เพราะ...“พระเงื่อม พานิช”..เบื่อ..!

จึงได้เกิดมีมหาปราชญ์แห่งพระพุทธศาสนาที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทยและของโลก..

นาม “พุทธทาสภิกขุ” ขึ้นมา

ไม่งั้น..ก็คงมีแต่ “พระมหาเงื่อม อินทปญฺโญ” ที่เป็นพระธรรมดา ๆ รูปหนึ่งเหมือนพระทั่ว ๆ ไป

 

 

อาจารย์พุทธทาสภิกขุ  

หรือ.. พระธรรมโกษาจารย์ (เงื่อม อินฺทปญฺโญ)

 

 

ได้รับการสดุดีว่า.. เป็น..

“มหาปราชญ์แห่งพุทธธรรมทางบูรพาทิศ” ที่มีเกียรติคุณไม่น้อยไปกว่า “ท่านนาคารชุน” ปราชญ์ใหญ่ฝ่ายมหายานในอดีต

ปัญญาชนทั้งไทยและต่างประเทศถือว่า ท่านเป็นนักปฏิรูปพระพุทธศาสนาที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองไทยและของโลก 

 

ยูเนสโก (องค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ) ได้ประกาศยกย่องท่านอาจารย์พุทธทาสให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ผู้สร้างคุณูปการใหญ่หลวงไว้แก่ชนรุ่นหลัง ในวาระ 100 ปีชาตกาล เมื่อ 20 ตุลาคม 2548

 

image

 

อัตชีวประวัติของท่านอาจารย์พุทธทาส

ที่คัดมาอ้างอิงงานเขียนข้างต้น ส่วนหนึ่ง :

 

ท่านอาจารย์พุทธทาสได้เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ ที่วัดปทุมคงคา โดยอาศัยกับพระครูชยาภิวัฒน์ (กลั่น) ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดกับท่านอาจารย์พุทธทาส..

สำหรับท่านอาจารย์พุทธทาส ซึ่งไม่เคยเดินทางไปกรุงเทพฯ มาก่อนเลย มีความคิดว่า..กรุงเทพฯ นั้นคือเมืองศูนย์กลางความเจริญในทุกด้าน รวมทั้งพระพุทธศาสนา เนื่องจากกรุงเทพฯ เป็นแหล่งความรู้ด้านปริยัติ..

ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงวาดภาพไว้ว่า.. พระเณรในกรุงเทพฯ จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ถึงขนาดคิดว่าจะมีพระอรหันต์อยู่เต็มไปทั้งกรุงเทพฯ..

ดังคำพูดของท่านอาจารย์พุทธทาสที่ว่า...

“ก่อนไปถึงกรุงเทพฯ เราก็เคยคิดว่า พระที่กรุงเทพฯ มันไม่เหมือนที่บ้านเรา พระกรุงเทพฯ จะดี เคยคิดว่าคนที่ได้เปรียญ 9 คือคนที่เป็นพระอรหันต์ด้วยซ้ำไป เคยคิดว่ากรุงเทพฯ ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด ควรจะถือเป็นตัวอย่าง เคยนึกว่าพระอรหันต์เต็มไปทั้งกรุงเทพฯ ก่อนไปกรุงเทพฯ มันคิดอย่างนั้น”

“แต่พอไปเจอจริงๆ มันรู้ว่ามหาเปรียญมันไม่มีความหมายอะไรนัก มันก็เริ่มเบื่อ อยากสึก รู้สึกว่าเรียนที่กรุงเทพฯ มันไม่มีอะไรเป็นสาระ เรียนที่กรุงเทพฯ มันอยากจะสึกอยู่บ่อยๆ พระเณรไม่ค่อยมีวินัย มันผิดกับบ้านนอก...”

ท่านอาจารย์พุทธทาสเห็นเข้าอย่างนี้ก็เกิดเป็นความเอือมระอาในชีวิตสมณเพศอย่างหนัก

หลังจากอยู่กรุงเทพฯ ได้เพียง 2 เดือนก็กลับมาที่พุมเรียง l

 

 

เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา : อัตชีวประวัติของพุทธทาสภิกขุ

พระประชา ปสนฺนธมฺโม สัมภาษณ์

 

 

ที่มา:

http://www.buddhadasa.org/html/life-work/bio/tell_chapter2-04.html

 

 

 

และเพราะ “สตีฟ จ็อบส์” (Steve Jobs)..เบื่อ..!

จึงได้เกิด “แอปเปิ้ลลูกที่สาม” ที่เปลี่ยนโลกใบนี้­

ไม่งั้น..ก็คงมีแต่บันฑิตหนุ่มจาก “รีด คอลเลจ” (Reed College) แห่งมลรัฐโอเรกอน ที่เดินเข้าสู่ตลาดแรงงานปกติธรรมดา หรือเป็นมนุษย์เงินเดือนทั่วไป..

 

image

 

คงจะไม่มีผลิตภัณฑ์อันเป็นตำนานก้องโลกอย่างเครื่อง Apple II, Macintosh, และ iMac    

ทั้งยังจะไม่มีนวัตกรรมที่เลื่องลือระบือนามด้วยทำออกมาได้โดนใจผู้คนอย่างสุด ๆ ในปัจจุบันอย่าง iPod, iPhone, และ iPad เกิดขึ้นมาประดับโลกใบนี้

รวมทั้งจะไม่มีภาพยนตร์แอนิเมชั่นสนุก ๆ ขวัญใจเด็ก ๆ ทั่วโลกอย่าง Toy Story และแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมระดับรางวัลออสการ์อย่าง Finding Nemo, The Incredibles  และอีกหลายเรื่อง ดัง ๆ ทั้งนั้น ของ “พิกซาร์ แอนิเมชั่น สตูดิโอ” (Pixar Animation Studios)... 

ที่ล้วนแล้วแต่มาจากมันสมองและฝีมือสร้างสรรค์ของผู้มีนามว่า "สตีฟ จ็อบส์" คนนี้ทั้งสิ้น !

 

 

แอปเปิ้ลลูกที่สาม

 

เอามาจากคำไว้อาลัยบนอินเทอร์เน็ตให้กับการเสียชีวิตของสตีฟ จ็อบส์ ที่ได้รับการโหวตว่าโดดเด่นมากที่สุดและเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วไป คือคำไว้อาลัย :

"แอปเปิ้ล 3 ลูกที่เปลี่ยนโลกใบนี้"

 

แอปเปิ้ลลูกที่หนึ่ง  คือลูกที่ “อาดัมและอีฟ” กินเข้าไป จนถูกพระเจ้าลงโทษให้อีฟอุ้มท้องคลอดลูกออกมา ถือเป็นแอปเปิ้ลที่ให้กำเนิดมนุษย์ต่อ ๆ มาก็ว่าได้  

แอปเปิ้ลลูกที่สอง  คือแอปเปิ้ลลูกที่ตกลงมาใส่หัว “เซอร์ไอแซค นิวตัน” ทำให้เกิดการค้นพบกฎแรงโน้มถ่วงของโลกเป็นครั้งแรก

แอปเปิ้ลลูกที่สาม  คือแอปเปิ้ลที่มีรอยแหว่งเป็นรอยถูกกัดของ "สตีฟ จ็อบส์" ผู้สร้างผลงานเป็นนวัตกรรมต่าง ๆ ออกมาได้อย่างมหัศจรรย์ชนิดที่นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสามารถสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมาให้กับโลกใบนี้ได้

image

 

วิถีชีวิตของมวลมนุษยชาติและโลกในยุคปัจจุบันจึงถูกทำให้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างก้าวกระโดด..

ด้วย “แอปเปิ้ลลูกที่สาม” ของ "สตีฟ จ็อบส์"

ลูกนี้..นี่เอง..  l

 

 

พูดถึงเรื่องการเบื่อหน่ายในสิ่งเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ที่ทำแล้วก็ยังไม่ได้ผล ทั้งยังหาแก่นสารอันใดไม่ได้ และไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อมวลหมู่มนุษยชาติและสังคมแต่อย่างใดแล้ว ยังมีตัวอย่างของมหาบุรุษ-มหาสตรีของโลก ที่อยู่ในทุกสาขา ทุกวงการ ให้นึกถึงและให้ศึกษาเป็นเยี่ยงอย่างอีกมากมายหลายร้อยหลายพันคน

ไม่ได้มีตัวอย่างแค่ “ท่านอาจารย์พุทธทาส” และ “สตีฟ จ็อบส์” ที่เอ่ยมาข้างต้นเท่านั้น

 

และที่เอ่ยถึง “สตีฟ จ็อบส์” มากหน่อย ก็เพราะจะได้ถือโอกาสนี้ไว้อาลัยในการจากไปของเขาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ด้วยความคารวะและนับถือในตัวเขาอย่างเต็มใจยิ่ง..(สตีฟ จ็อบส์ เสียชีวิตเมื่อ 5 ตุลาคม 2554)image

ยิ่งได้ฟังสุนทรพจน์ (speech) ของเขาที่กล่าวไว้ในพิธีมอบปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford University) ซึ่งสตีฟ จ็อบส์ ได้รับเชิญไปปาฐกถาให้บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาในพิธีดังกล่าวฟัง  เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2548.. แล้ว.. ยิ่งทำให้นับถือในตัวชายผู้นี้มากขึ้น

speech นี้ ว่ากันว่า..เป็น speech ที่ดีและดังที่สุดของสตีฟ จ๊อบส์ ก็ว่าได้ 

วันที่เขาตาย.. มีการนำคลิป speech อันนี้มาโพสท์ให้ดูใหม่อีกครั้งบนอินเทอร์เน็ตอย่างมากมาย เพื่อร่วมรำลึกและไว้อาลัยเขา..ในแทบทุกเว็บที่รายงานเรื่องการเสียชีวิตของเขา

แนะนำให้ “คนรุ่นใหม่” ไปหาฟังกันไว้นะครับ จะสร้างแรงบันดาลใจอันทรงคุณค่าต่ออนาคตการใช้ชีวิตให้กับตัวเองได้เป็นอย่างดีครับ

(หาไม่ยากครับ search แป๊บเดียว ก็จะพบลิงค์ของคลิป speech อันนี้เยอะแยะมากมายบนอินเทอร์เน็ตให้เลือกดูได้หลายแบบ หลายเวอร์ชั่น เต็มไปหมดครับ)

 

ส่วน.. “คนรุ่นเก่า”...โดยเฉพาะคนเป็นอธิการบดี..กับพวกคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแถวแยกบ้านธาตุที่นี่นั้น..

อย่าเลยครับ อย่าไปดู.. อย่าไปฟังเลยครับ.. ไม่อยากแนะนำครับ..

เบื่อ..!!.. (อันที่จริง..คือ..โคตรเบื่อ !!..เลยล่ะครับ)

 

อย่าเสียเวลาไปกับการ “สีซอ” ให้คนเหล่านี้ฟังกันเลยครับ.. ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เพราะค่อนข้างพิสูจน์ทราบได้อย่างชัดเจนจากความคิดความอ่าน พฤติกรรมการบริหาร การทำงาน และผลงานจริงที่ปรากฎผ่านมาแล้วว่า..

เป็นพวกที่โบราณล้าหลัง เรียนรู้และรับรู้เรื่องราวอะไรใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากเดิมที่ตัวเองเคยชินยึดถือได้ยากมาก ๆ ครับ

ทั้งยังเป็นพวกที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง..และไม่เข้าใจใน “ความคิดอ่าน” ที่ก้าวหน้านอกกรอบอย่างสร้างสรรค์ในโลกใบนี้เอาเสียเลย..ว่า..จะนำไปสู่การกระทำ หรือ “วิธีการ” ในการทำงานที่จะยังประโยชน์ต่อความผาสุกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนส่วนใหญ่ในองค์การและในสังคมได้มากมายกว่าเดิมขนาดไหน

 

พอพูดถึงประเด็นตรงนี้แล้ว ก็ขอร้องว่าอย่ามาเสียเวลาวิวาทะหรือเถียงว่า พวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแถวแยกบ้านธาตุนี้ รู้จักหรือมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งแท้จริงในเรื่องราวและแนวคิดสมัยใหม่ต่าง ๆ ที่ก้าวหน้า สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์เหล่านี้กับเขาเลยครับ

โดยเฉพาะคนที่เป็น “อธิการบดี” บางคนชอบแสดงว่าตนเองอ่านเรื่องราวทันสมัยก้าวหน้าเหล่านี้มาก และชอบ “ลอก” เนื้อหาแนวคิดก้าวหน้าสมัยใหม่เหล่านี้มาพรีเซ็นต์ หรืออันที่จริงมา “หลอก” บรรยายให้ผู้คนในห้องประชุมบางส่วนที่ติดนิสัยความเคยชินในการชอบดูคนแบบหยาบ ๆ เพียงเฉพาะบางมิติ คือมิติ “การพูด” และมิติของการสร้างภาพภายนอกให้ดูดี

ทำให้คนกลุ่มนี้หลงไปทึกทักเอาเองว่าตัวคนที่พูดบรรยายนั้นมีความรู้ความเข้าใจในแนวคิดก้าวหน้าสร้างสรรค์สมัยใหม่เหล่านั้นอย่างแท้จริงแล้วเป็นอย่างดี

ซึ่งอันที่จริงแล้ว.. เปล่าเลย.. เพียงแค่จำ หรือท่อง หรือลอกจากหนังสือที่อ่านไปพูด ไปบรรยาย ไม่กี่นาที ไม่ได้มีความหมายถึงการเป็นผู้รู้ผู้เข้าใจในหลักคิดก้าวหน้าสมัยใหม่เหล่านั้นอย่างแท้จริงเลยครับ

การกระทำและผลการกระทำที่เกิดขึ้นเป็น “ผลงานจริง” ต่างหาก จึงจะเป็นเครื่องยืนยันถึงความรู้ความเข้าใจในแนวคิดก้าวหน้า ทันสมัย สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์แท้เหล่านั้นครับ

ไม่ใช่การสักแต่พูด สักแต่บรรยาย และสักแต่สร้างภาพภายนอกให้ดูดีไปวัน ๆ แต่ Action ตรงกันข้าม คนละเรื่องกับที่พูด !

และ Performance ก็ไม่ได้เรื่อง !!

 

100_1910

 

ลองทบทวนดูพฤติกรรมการบริหารงานมหาวิทยาลัยและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงที่ผ่านมาจากการทำงานของคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยโดยเฉพาะตัวคนเป็นอธิการบดีก็ได้ครับว่าเป็นยังไงบ้าง (หลายตัวอย่าง สามารถหาดูได้จากในบล็อกตอนที่ผ่าน ๆ มาก็ได้ครับ มีตัวอย่างจริงยืนยันเยอะแยะเต็มไปหมด และยังจะมีมาอีกเรื่อย ๆ ครับ.. โปรดติดตาม)

แล้วจะแลเห็นได้ไม่ยากครับว่าการกระทำและผลการกระทำที่เกิดขึ้นในการบริหารมหาวิทยาลัยของอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้ ถือเป็นพวกที่รู้จักและเข้าใจแต่เรื่องราว, วิธีการ, และแนวคิดเก่า ๆ ที่ทั้งล้าสมัยและล้าหลังอย่างไม่รู้ตัวเองเอามาก ๆ จริง ๆ ครับ

 

ซ้ำยังเป็นพวกที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราว หรือรู้ร้อนรู้หนาว รู้จักความละอายอะไรกับเขา อย่างเช่น ตั้งถามเกี่ยวกับความมั่วในการบริหารมหาวิทยาลัยไปหลายคำถามในบล็อกตอนที่แล้ว (ตอนที่ 8)  ปรากฎว่าผ่านมาจะ 2 เดือน ก็ไม่เคยตอบสาธารณะ และยังตอบสังคมไม่ได้จนทุกวันนี้เลยครับ  

อาศัยแต่ลูกมึน ลูกหน้าด้าน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยปัญหาที่ตัวเองก่อทิ้งไว้ไปเรื่อย ๆ อย่างไร้ภาวะผู้นำ ไร้ความรับผิดชอบ ไร้จิตสำนึกที่ถูกต้องดีงาม และไร้ยางอายในการกระทำและผลจากการทำงานอันเสียหายของพวกตนอย่างชนิดที่ขัดกับภาพลักษณ์การแสดงออกต่อหน้าสาธารณะที่แสดงตัวตนเป็นผู้ดี มีคุณธรรมสูงส่งของพวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้ แต่กลับไม่รู้จักความละอาย อย่างชนิดที่นึกไม่ถึงว่าจะมาเกิดขึ้นกับคนในชุมชนวิชาการระดับอุดมศึกษาเช่นนี้ได้ครับ

 

พอมีคนตั้งคำถาม ก็ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่เคยชี้แจง ไม่เคยแก้ไข จนทำให้ประชาคมที่นี่หลายส่วนเริ่มรู้สึกได้ว่า การ “ตักน้ำรดหัวตอ” น่าจะยังมีประโยชน์กว่าการสื่อสารตั้งคำถามหรือแนะนำสั่งสอนให้พวกผู้บริหารมหาวิทยาลัยเหล่านี้รู้จักความ..และรู้จักความละอาย..เหมือนชาวบ้านเขากันครับ

เพราะถึงแม้การตักน้ำรดหัวตอจะไม่มีผลทำให้ตอของต้นไม้เกิดความงอกงามแตกกิ่งก้านและดอกใบขึ้นมาให้เราจากการรดน้ำใส่มันก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ยังมีส่วนทำให้ผืนแผ่นดินบริเวณตอไม้นั้นมีความชุ่มชื้นจากน้ำที่เราได้รินหลั่งรดลงไป

แม้เพียงน้อยนิดที่จะช่วยลดความแห้งผากและร้อนแล้งของโลกใบนี้ลงไปบ้าง ก็ยังดี และดีกว่าไปพูดจาหรือสีซอให้พวกอธิการบดีและผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้ฟังเกี่ยวกับกิจการงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยอย่างแน่นอน..

เพราะจะไม่เกิดผลอะไรขึ้นมาเลยครับ..!!

 

101_0023

 

จึงไม่น่าประหลาดใจอันใดเลยที่ตอนนี้ ประชาคมหลายส่วนในมหาวิทยาลัย เริ่มจับกลุ่มย่อยคุยกันและโทรหากันบ่อยมากขึ้น และต่างพากันประเมินฯกันเองโดยไม่ต้องใช้แบบสอบถามของ “คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงาน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” ให้เสียเวลาครับ  

ซึ่งได้ข้อสรุปในกลุ่มย่อยต่าง ๆ ของคณาจารย์ที่ทั้งจับกลุ่มเจอกันและโทรพูดคุยแลกเปลี่ยนกันแล้วครับ..ว่า..

ไม่ว่าจะเป็นการ “ตักน้ำรดหัวตอ” หรือ “สีซอให้ควายฟัง” ตามสำนวนคำพังเพยไทยแต่ดั้งเดิม ก็ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กว่าการที่บรรดาคณาจารย์ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และประชาคมทั้งหมดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้พูด..ได้แสดงความคิดเห็น..ได้ตั้งคำถามกับพวกอธิการบดีและผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้มากนัก

 

ไปซะไกลเลย..  ขอกลับมาที่เรื่องเดิมกันนะครับ...

ก่อนนี้.. ผมกำลังพูดถึงความเบื่อหน่ายของตัวผมที่มีต่อรูปแบบ, วิธีการ, และเนื้อหาของการประเมินผลงานในการบริหารงานของอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประจำปี 2554 หลังจากได้รับเอกสารแบบสอบถามให้ตอบแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้ จาก “คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงาน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร” และได้ลองพลิก ๆ ดูบ้างแล้ว

ด้วยความเบื่อแท้ ๆ เลยทำให้ผมเลี้ยวแวะไปเสวนาเรื่องของ “ความเบื่อ” ซะไกลเลยครับ

แต่ผมคิดว่าจำเป็นครับ ไม่เช่นนั้นก็เหมือนเราปล่อยให้มีคนกลุ่มหนึ่งเอาแต่ทำเรื่องน่าเบื่อต่าง ๆ ที่เกิดประโยชน์ต่อการผลิตอย่างแท้จริงน้อยมากให้กับสังคมไทยอยู่ร่ำไป ซึ่งนับเป็นอันตรายต่ออนาคตการขับเคลื่อนพัฒนาสังคมไทยและการสร้างชาติไทยให้เติบใหญ่อย่างมีคุณภาพแท้จริงยิ่งนักครับ

ดังนั้น จึงควรจะได้ถือโอกาสนี้พูดถึงเรื่องความเบื่อในการทำซ้ำแต่สิ่งเดิม ๆ ที่ไม่สร้างสรรค์และสามารถวัดออกมาหรือพิสูจน์ทราบได้แจ้งชัดแล้วว่าไม่ได้ผลหรือไม่มีประโยชน์อย่างแท้จริงต่อองค์กรและผู้คนส่วนใหญ่กันอย่างละเอียดซักที 

ไม่อย่างงั้นก็ไม่รู้จักโตกันเสียบ้างเลยครับ.. หนำซ้ำยิ่งปล่อยไป ก็จะยิ่งสร้างตัวอย่างแบบนี้ไว้ให้คนรุ่นใหม่ลอกเลียนแบบทำตาม..และสืบทอดต่อกันไปในสังคมไทยเรื่อย ๆ ครับ..

จึงถ้าปล่อยปละละเลยและวางเฉยไม่พูดเรื่องนี้ให้รู้สึกตัวกันซะบ้างแล้ว..เส้นทางสายอนาคตแห่งไทย..ก็คงเดินไปสู่ความรุ่งริ่ง..แทนที่จะรุ่งโรจน์..เหมือนเพื่อนบ้านอาเซียนเขา..(ที่นับวันจะวิ่งเลยล้ำหน้า..แซงประเทศชาติของเราไปเรื่อย ๆ)

 

เอาล่ะครับ.. มาต่อกันที่เรื่องเดิมในตอนต้น คือ เรื่อง รูปแบบวิธีการประเมินผลงานในการบริหารงานของอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประจำปี 2554… 

ด้วยการใช้ “แบบสอบถาม” เป็นพระเอกหลักของงานนี้ครับ

 

SAM_0256

 

หลังจากหลุดเสียงร้อง “เฮ้อ..! ออกมาทันทีที่ผมได้ดูเนื้อหาในเอกสารแบบสอบถามการประเมินผลงานผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ปี 2544 จบ...

ความเบื่ออย่างสุด ๆ ก็จู่โจมเข้าจับขั้วหัวใจผมจนยึดกุมอยู่เต็มไปหมดทั่วทั้งจิตทั้งใจ.. นาทีนั้น ผมจำได้ว่า ไม่มีที่ว่างให้ความรู้สึกและความนึกคิดอย่างอื่นหลงเหลืออยู่เลยครับ..นอกจากความเบื่อหน่ายในเรื่องนี้อย่างถึงที่สุดเท่านั้น !

ในอารมณ์ความรู้สึกขณะนั้น ผมไม่มีอะไรทำได้ดีกว่าการนั่ง “พิจารณา” ความเบื่อ ด้วยการ “ดู” และ “รับรู้” มันเฉย ๆ ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับจิตของผมตอนนั้น..

นั่งดูความเบื่อในจิตใจตัวเองโดยไม่เข้าไปยุ่งกับมันอยู่พักหนึ่ง จนรู้สึกว่าใจผมปลดปล่อยเจ้าความเบื่อออกไปได้มากโข และจิตก็ไม่ได้เกาะเกี่ยวมันไว้แล้ว ก็ทำให้เกิดเห็นคุณูปการของความเบื่อและให้รู้สึกนึกขอบคุณเจ้าความเบื่อหน่ายนี้ขึ้นมาทันทีอย่างนึกไม่ถึงเลยครับ จำได้ว่ายังบอกกับตัวเองในตอนนั้นไปว่า.. 

อันที่จริงความเบื่อก็มีประโยชน์มากเหมือนกันนะ…

เพราะความเบื่อหน่ายสะสมในลักษณะวิธีการประเมินผลงานแบบที่เป็นอยู่ในวงการการศึกษาไทยนี่เองครับ.. จึงเป็นแรงผลักและแรงกระตุ้น “ความคิด” ของผมในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้..ให้โลดแล่นทำงานขึ้นมาอย่างเต็มที่…

 

ความคิดเบื้องต้นแรกเริ่มเลย..ก็คือ

 

ถ้าวิธีการประเมินผลงานด้วยแบบสCCF29112554_00004อบถามในลักษณะรูปแบบเดิม ๆ ที่ทำซ้ำ ๆ ตาม ๆ กันมาตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมานี้..,

และอีกทั้ง...

ถ้าหัวข้อเนื้อหาที่เขียนใส่ลงไปเยอะแยะมากมายในแบบสอบถามอย่างที่ใช้ ๆ กันในวงการประเมินฯแบบโบร่ำโบราณดั้งเดิมมายาวนานนับสิบ ๆ ปีเช่นกัน..นั้น..

มัน “เวิร์ค” (work) จริง, และมันใช้ “วัด” (measure) ผู้ถูกประเมินฯอย่างได้ผลแท้จริงแล้ว...

ทำไม..??..

ณ วันนี้... ผ่านมา 40 กว่าปี จนอีก 2-3 ปีข้างหน้าก็จะเป็น 50 ปี ของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร,

และ ผ่านมา 10 กว่าปี ภายใต้การบริหารงานของอธิการบดีกับคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้..(ต้องนับย้อนไปตั้งแต่ยุคก่อน 2 สมัยบริหารล่าสุดนี้ด้วย เพราะถือว่าเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันที่เข้ามายึดกุมมหาวิทยาลัยต่อเนื่องยาวนานมาตั้งแต่สมัยนั้น)..

 

ทำไมมหาวิทยาลัยราชภัฏ ณ แยกบ้านธาตุ แห่งนี้.. ยังมีผลงานแบบที่เห็นข้างล่างนี้เกิดขึ้นภายในมหาวิทยาลัยของตัวเอง..!!!..???...

 

IMG_3991

มีด้วยหรือครับ..

มหาวิทยาลัยในประเทศไทยที่มีชื่อนี้..??..!!

มหาวิทยาลัยที่มีชื่อยาวว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครคณะครุศาสตร์”

(หรือจริง ๆ แล้ว อาจมีชื่อว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครคณะครุศาสตร์เอกพลศึกษาและวิทยาศาสตร์การกีฬา”  แต่เขาเขียนในบรรทัดเดียวไม่พอ)

มีอยู่ในสังกัด สกอ.  กระทรวงศึกษาธิการ ของประเทศนี้.. กับเขาด้วยหรือครับ..??

 

อีกอย่าง.., ใจความและความหมายของการเขียนและการใช้ภาษาที่พิลึกแบบนี้ จะสื่อถึงการแสดงความยินดีในสิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริงได้หรือครับ ?

อ้อ !..แล้วก็..ใครกันแน่ครับ ที่สอบผ่านเป็นผู้ตัดสินฯ..??

เป็น “คน” (เช่น นักศึกษาเอกพลศึกษาฯ หรือ คณาจารย์เอกพลศึกษาฯ ฯลฯ)

หรือ.. “ไม่ใช่คน” (เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.., คณะครุศาสตร์.., เอกพลศึกษาและวิทยาศาสตร์การกีฬา)

ที่สื่อสารมาแบบในป้ายนั้น..  “ไม่ใช่คน” นะครับ !..ที่สอบผ่านเป็นผู้ตัดสินฯ..!!

แล้วมีด้วยหรือครับที่ “หน่วยงาน” ต่าง ๆ จะสามารถไปสอบผ่านอะไรกับเขาได้..?

 

เอากันอย่างนี้เลยหรือครับ..กับการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาของไทยยุคนี้ !

เอากันอย่างนี้เลยหรือครับ..กับงาน..“วิชาการ” ของมหาวิทยาลัยไทย..โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า “ราชภัฏสกลนคร” (นี่แค่ตัวอย่างเดียวนะครับ)

 

image

 

นี่หรือครับ.. ความก้าวหน้าของการศึกษาไทย !!..???

และน่าภาคภูมิใจมากเลยใช่ไหมครับ..?? ที่ได้ผู้บริหารแบบนี้มาบริหารการจัดการศึกษาให้กับมหาวิทยาลัยราชภัฏ ณ แยกบ้านธาตุ แห่งนี้..!! 

เห็นบอกว่าเก่งสุดยอดกันไม่ใช่หรือครับ..?..

แล้วไงครับ..?.. เก่งจนบริหารไป..บริหารมาอยู่หลายปี..

ที่สุดก็ได้ผลงานทางวิชาการออกมาอย่างที่เห็นนี้..!!

 

IMG_0029

 

ว่าไงดีครับ.. ท่าน “คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงาน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร”

กับการประเมินฯผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งนี้มานานหลายปีแล้ว..ก็ยังให้ดอกให้ผลจากต้นไม้การศึกษาต้นนี้..ออกมาอย่างที่เห็นนั้น !!

เอาไงครับ..ท่านคณะกรรมการฯ.. กับกรณีแบบหน้าโรงยิมส์นี้.. จะประเมินฯกันยังไงดีครับ ?..,

และควรมีผลคำตอบของการประเมินฯออกมาเป็นเช่นใดดีครับ ??

 

เอาล่ะครับ.. ตอนนี้ ไว้แค่นี้พอก่อนนะครับ ไม่อยากวิจารณ์หนักให้กระเทือนใจและเศร้าใจกับ “ระบบการศึกษาไทย” และ “ระบบการบริหารงานสถาบันการศึกษา”..ที่ทำให้เกิดผลเช่นที่เห็น..ไปมากกว่านี้

 

IMG_0032

 

และแน่นอนครับ.. ย่อมมีบางคนมี “ความคิด” ว่าเรื่องแบบนี้..เป็น “เรื่องเล็ก”  ไปใส่ใจมันทำไม !

แต่กับบางคน..(เช่น ผม).. กลับตรงข้ามครับ..

ตรงข้าม..ด้วยวิธีคิดที่เห็นว่า..

ก่อนตัดสินหรือประเมินว่าอะไรเป็น “เรื่องเล็ก-เรื่องใหญ่” ควรต้องรู้ก่อนว่าจะนำไปเทียบ..หรืออิง..หรือสัมพัทธ์..กับอะไร

 

เช่น..

การคิดหาคำตอบให้ถูกต้องตามหลักวิชาคณิตศาสตร์จากโจทย์เลขข้อนี้ :

1 + 1 เท่ากับเท่าไร ?

จะถูกตัดสินหรือประเมินว่าเป็น..

“เรื่องเล็ก” หรือ “เรื่องใหญ่” ดีครับ ??

 

เพราะบางกลุ่มย่อมถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเหลือเกินที่ตอบโจทย์เลขแบบนี้ได้ถูกต้อง และจะถือเป็นเรื่องใหญ่โตมากถ้าใครรู้ว่าคิดเลขตามโจทย์ข้อนี้ไม่ได้หรือคิดไม่เป็น

ในขณะที่บางกลุ่มกลับตรงข้ามกันครับ คือถ้าตอบโจทย์เลขข้อนี้ผิด คนกลับถือว่าเป็นเรื่องเล็กเสียเหลือเกิน แต่ถ้าหาคำตอบจากโจทย์เลขข้อนี้ได้ถูกต้อง ก็จะถูกมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ (ไม่เชื่อลองเอาโจทย์เลขข้อนี้ไปให้ระดับเด็กเล็ก ๆ ทำดูครับ)

 

เห็นมั๊ยครับว่า..แต่ละเรื่องสามารถเป็นได้ทั้ง “เรื่องเล็ก” และ “เรื่องใหญ่” ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปเทียบ..หรืออิง..หรือสัมพัทธ์..กับเกณฑ์อะไรนั่นเองครับ

ถ้าเทียบว่า.. เป็นแค่ระดับเด็กเล็กในชั้นเตรียมอนุบาลเอง หรือแค่ระดับอนุบาลต้นเอง.. การคิดคำนวนโจทย์ 1 + 1 ไม่ได้ หรือให้คำตอบในการคำนวนออกมาผิด ย่อมไม่น่าจะถือว่าเป็น “เรื่องใหญ่” แต่อย่างใดในสายตาของสังคมทั่วไป

แต่ถ้านักเรียนระดับประถมปลายหรือมัธยมตอบโจทย์ข้อนี้ว่า 1 + 1 เท่ากับ 3 ย่อมไม่ใช่ “เรื่องเล็ก” อย่างแน่นอนครับ

และยิ่งถ้าเป็นระดับนักศึกษามหาวิทยาลัย..แต่ยังคิดเลขตามโจทย์ 1 + 1 นี้ไม่ได้ หรือคิดออกมาเป็นคำตอบที่ผิด ๆ แล้ว..ยังจะคิดว่าไม่ใช่ “เรื่องใหญ่” อะไรเลย..อีกหรือครับ..?? 

และยังจะถือหางสนับสนุนยกยอกันเองให้มองว่าเป็น “เรื่องเล็ก” กันอยู่อีกหรือครับ..!!..??

 

เช่นกันครับ..

รูรั่วเล็กนิดเดียว.. จะถูกถือว่าเป็น “เรื่องเล็ก” หรือ “เรื่องใหญ่” ย่อมขึ้นอยู่กับว่าจะนำมันไปเทียบ..ไปสัมพัทธ์กับเรื่องหรือเกณฑ์อะไร

หรือขึ้นอยู่กับว่ารูรั่วเล็ก ๆ นั้นมันจะไปปรากฎอยู่ตรงพื้นที่อะไรและตรงส่วนไหนครับ 

ถ้ามันไปปรากฎบนพื้นที่ด้านล่างหรือด้านข้างเรือเดินสมุทรส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำทะเล.. สถานะความเป็น “เรื่องใหญ่-เรื่องเล็ก” ของมัน..ย่อมถูกประเมินแตกต่างไปจากที่มันปรากฎเป็นรูเล็ก ๆ บนพื้นผิวผนังอาคารหรือกำแพงรั้วบนพื้นดิน

และเมื่อได้รับรายงานข้อมูลมาว่า มีรูรั่วเล็ก ๆ เกิดขึ้นบริเวณพื้นเรือเดินสมุทรด้านล่างที่อยู่ในน้ำทะเล..จึงไม่ควรรีบตัดสินและประเมินสถานการณ์นี้ลงไปทันทีเลยว่า “เรื่องเล็ก” ตามความเคยชินของสมองที่ไม่เคยถูกฝึกให้ใช้อย่างเต็มที่ในการทำงานทางความคิดต่อเรื่องเหล่านี้มาก่อน 

ถ้าเอะอะอะไร..ก็ใช้ท่าทีในการประเมินและตัดสินอย่างรีบร้อนว่าเป็น “เรื่องเล็ก” อยู่เรื่อยกับทุกเรื่อง..ทุกเหตุการณ์แบบนี้..มีสิทธิ์เรือล่มและจมน้ำตายกันหมดกับสถานการณ์รอยรั่วเล็ก ๆ ใต้ท้องเรือเดินสมุทรเช่นนี้ได้ไม่ยากนะครับ !!

 

100_4732

 

ดังนั้น.. ต่อกรณีเรื่องป้ายหน้าโรงยิมส์ของราชภัฏสกลนครที่แสดงถึงการมี การศึกษา ผ่านการเขียนหนังสือและใช้ภาษาออกมาได้แค่ในระดับตามที่เห็นนี้.. ถ้าเทียบว่า..นี่เป็นป้ายที่ผลิตโดยสถาบันที่มีหน้าที่หลักในการจัดการศึกษาให้คนอื่น.. ไม่ใช่ผลิตโดยสถาบันที่มีหน้าที่หลักในวิชาชีพเฉพาะทางด้านอื่น ๆ..แล้ว..

เรื่องแบบนี้ย่อมเป็น เรื่องใหญ่ ระดับการสะท้อนออกมาให้สังคมไทยได้เห็นว่า..

“การควบคุมคุณภาพการศึกษา” และ “การประกันคุณภาพการศึกษา” ภายในสถาบันการศึกษาที่สังกัดกระทรวงศึกษาธิการของไทย..บางแห่ง..นั้น..

ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง..ครับ..!!

 

IMG_0031 IMG_0027

 

ด้วยเหตุนี้.. เรื่องคุณภาพการศึกษาของสถาบันการศึกษาที่ยังไม่ค่อยดีนักตามตัวอย่างที่เห็นปรากฎอยู่บนป้ายหน้าโรงยิมส์ในมหาวิทยาลัยแถวแยกบ้านธาตุดังที่แสดงให้ดูมาแล้วข้างต้นนี้.. จึงไม่ใช่เป็นแค่ “เรื่องเล็ก ๆ” แต่อย่างใดเลย..

แต่ควรเป็นเรื่องใหญ่ของวงการศึกษาไทยในระดับที่ไม่ต่างไปจากเรื่องของ.. “คลิปนักเรียน ม.ต้น ถอดเสื้อเต้นโชว์กลางห้องเรียน”.. ที่เป็นข่าวดังช่วงปลายปี 54 และถือเป็น “เรื่องใหญ่” ของกระทรวงศึกษาธิการ..ที่ถึงกับระดับ “ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” ต้องออกโรงในเรื่องคลิปนี้ด้วยตนเอง..ตามที่สื่อมวลชนบอกไว้ว่า.. “วรวัจน์ อัด ครู ไม่ใส่ใจ ปมเด็กถอดชุดนักเรียน เต้นโคโยตี้ กระฉ่อนเน็ต!”  (คลิ๊กดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่หัวข้อข่าวนี้ได้เลยครับ)

 

image

 

ซึ่งอันที่จริงแล้ว ในทัศนะของผม.. เรื่องคุณภาพการศึกษาที่เห็นจากตัวอย่างของป้ายหน้าโรงยิมส์ในราชภัฏสกลนครนั้น ควรต้องถือเป็น “เรื่องใหญ่กว่า” เรื่องของคลิปนักเรียน ม.ต้น เต้นโคโยตี้โชว์กลางห้องเรียนที่เป็นข่าวด้วยซ้ำไปครับ

 

IMG_3991

 

เรื่อง “คลิปนักเรียน ม.ต้น ถอดเสื้อเต้นโชว์กลางห้องเรียน” ย่อมไม่ใช่ “เรื่องเล็ก” ในสังคมไทย..แน่นอนครับ..

แต่ถ้าเทียบกับเรื่องคุณภาพการศึกษาที่ตกต่ำและการมีการศึกษาที่ผิด ๆ อย่างกรณีที่เกิดขึ้นในสถาบันการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เช่น ที่ราชภัฏสกลนคร ตามภาพตัวอย่างที่ยกมาให้ดูข้างต้นแล้ว..

ผมเห็นว่า..กรณีหลังจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลเสียหายต่ออนาคตการพัฒนาประเทศชาติของเราในระยะยาวได้อย่างลึกซึ้งรุนแรงและยาวนานมากกว่าครับ

 

ยิ่งจะไปแข่งทางการศึกษากับเพื่อนบ้านอาเซียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะยิ่งจะถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ..ถ้าคุณภาพการศึกษายังเป็นแบบที่เห็นในราชภัฏสกลนคร.. แล้วคนในสังคมไทยทั้งหมด ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ “เล็กกว่า” เรื่องการเต้นโคโยตี้โชว์ของนักเรียน..,

หรือคนในสังคม..โดยเฉพาะผู้รับผิดชอบและมีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดการศึกษาไทย..มองไม่เห็นว่ามันเป็น “เรื่องใหญ่” ที่จะต้องให้ความสำคัญและให้ความสนใจในการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขการศึกษาที่ผิด ๆ นั้น แล้วพัฒนาให้มีคุณภาพดีขึ้นอย่างเร่งด่วนและเอาจริงเอาจังมากกว่าการปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง หรือปล่อยผ่านการจัดการศึกษาไทยไปเรื่อย ๆ แล้วแต่เวรแต่กรรมแบบที่เป็นอยู่.. 

 

ดังนั้น ใจจริงของผมแล้ว.. จึงอยากเห็นตั้งแต่ระดับ  “ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี” เลยล่ะครับ.. ไม่ใช่แค่ระดับ “ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ” เท่านั้น ที่อยากให้ท่านได้ลงมาดูแลเรื่องคุณภาพการศึกษาไทยไม่ให้เกิดผลลัพธ์แบบที่เห็นในมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครครับ

 

IMG_0031

 

อยากให้ท่านได้แสดงออกถึงความสนใจและห่วงใยอย่างจริงจังในเรื่องคุณภาพการศึกษาแบบไม่น่าพึงปรารถนาอย่างที่เกิดขึ้นในราชภัฏสกลนคร..กับสื่อและสังคมไทยด้วยตนเองเหมือนที่ท่านแสดงความใส่ใจกับเรื่องการเต้นโคโยตี้ในห้องเรียนของนักเรียนมัธยมตามหัวข้อข่าวข้างต้นนั่นแหละครับ

 

และอยากให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกมา “อัด” ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาในทุกระดับที่ปล่อยให้คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำและมีการศึกษาที่ผิด ๆ แบบตัวอย่างของราชภัฏสกลนคร เหมือนที่ท่าน “อัด” ครูที่ไม่ใส่ใจเด็ก ๆ จนปล่อยให้เด็กนักเรียนของตัวเองถอดชุดนักเรียนเต้นโคโยตี้กลางห้องเรียนให้คนดูทั้งเน็ต..บ้างจังครับ.. เพื่อคุณภาพการศึกษาไทยจะได้ดีขึ้นและจะมีความสามารถในการแข่งขันทางการศึกษากับเพื่อนบ้านในประชาคมอาเซียนกับเขาได้ครับ..,

รวมทั้งยังจะได้เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดกรณีการมีคุณภาพการศึกษาที่ตกต่ำอย่างที่เกิดขึ้นแถวหน้าโรงยิมส์ของราชภัฏสกลนคร..ในอนาคตข้างหน้า..ให้เศร้าใจอีกครับ !

 

100_6989

 

สำหรับประเด็นของ “เรื่องเล็ก - เรื่องใหญ่”  ผมขอถกไว้แค่นี้ก่อนนะครับ

ถ้าใครต้องการจะขยายความคิดและถกกันเฉพาะเรื่องนี้ให้ละเอียดเพิ่มเติมมากกว่านี้อีกในวันข้างหน้า..ก็ยินดีครับ..

และถ้าใครยังคลางแคลงและมึนงงสงสัย รวมทั้งมีข้อโต้แย้งต่าง ๆ ในความคิดความอ่านต่อประเด็นเรื่องนี้..ก็ให้หาเวทีเพื่อดีเบตเกี่ยวกับ “เรื่องเล็ก-เรื่องใหญ่” โดยเฉพาะมาได้เลยครับ พร้อมเมื่อไรให้นัดมาได้เลยครับ ผมพร้อมตลอดครับ

 

IMG_0035

 

ในช่วงระหว่างนี้.. คนที่มีสมอง “คิด” ออกว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย..และชอบพูดว่าไม่มีอะไร.. ก็ดีแล้วครับ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปยุ่งเกี่ยวกับมัน..

และในเมื่อ “ยอมรับ” กับมัน..ภูมิใจกับผลงานแบบนี้ เพราะว่าไม่มีอะไรหรือไม่เป็นไร..มันเป็นแค่เรื่องเล็ก ๆ..ตามที่ตัวเองคิดและบอกคนอื่นแล้ว.. ก็ขอยุส่งให้ติดป้ายนี้ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นต่อไปเรื่อย ๆ นะครับ..

เอาไว้..“โชว์แขก”..ไงครับ !  l

 

 

ถ้าการประเมินผลงานคนเป็นอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ด้วยวิธีการใช้รูปแบบและเนื้อหาเดิม ๆ แบบที่ทำซ้ำกันมายาวนานหลายปีดีดักนี้.. มัน “เวิร์ค” (work) จริง, และมัน “วัด” (measure) ผลการปฏิบัติงานของตัวอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครได้อย่างถูกต้องแท้จริงแล้ว..ทำไมยังมีผลงานทางการศึกษาแบบที่เห็นตามภาพนี้เกิดขึ้นได้อีกในสถาบันที่ได้ชื่อว่ามีหน้าที่โดยตรงในการจัดการศึกษาให้คนอื่นในสังคม..และเป็นสถาบันที่อยู่ในความรับผิดชอบของคนเป็นอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้..โดยตรง..!!..??? 

 

   IMG_9701  IMG_0034

 

และ..ถ้าการประเมินฯที่ว่านั้น.. มัน “เวิร์ค” (work) และใช้ “วัด” (measure) ผู้ถูกประเมินฯได้จริงแล้ว..

ทำไม ยังมีผลลัพธ์จริงจากการจัดการศึกษาและจากการบริหารงานอันยาวนาน..ของ “อธิการบดีคนนี้” กับ “คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดนี้”..ตามภาพดังกล่าว..มาเกิดขึ้นได้อีก..ในยุคนี้.. พ.ศ.นี้..??..

ในปี พ.ศ. ที่กำลังมีการโหมประโคมและโปรโมทกันอย่างหนักหน่วงว่า..การศึกษาไทยกำลังจะก้าวไกลไปสู่ “ประชาคมอาเซียน” กับเขาในเร็ววันนี้ !!

(ผลงานของการศึกษาไทยที่มาติดอวดชาวบ้านเขาอยู่หน้าอาคารโรงยิมส์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครแบบนี้ ยังจะมีหน้ากล้าไป “อาเซียน” กับเขาด้วยหรือครับ..?? ..555..!!,

กล้าเอาผลงานแบบนี้ไปให้ประชาคมอาเซียนเขาแลเห็นว่า..การศึกษาไทยระดับอุดมศึกษามันพิกลพิการยังไง..จริง ๆ หรือ..??..555..555..!!)..,

 

IMG_9648

 

สถาบันที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ “การศึกษา” โดยตรง และต้องทำหน้าที่ให้การศึกษาแก่คนอื่นในสังคมอย่างมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครแห่งนี้..

แต่ยังปล่อยให้มีงานแบบตัวอย่างที่เห็นเกิดขึ้นภายในรั้วสถาบันการศึกษาของตัวเองในวัยวันที่อายุขัยของการก่อตั้งจะครบกึ่งศตวรรษในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้แล้ว.. ซ้ำยังติดทิ้งไว้อวดคนทั่วไป..(ทั้งนักศึกษา คณาจารย์ บุคคลากรภายในของตัวเอง และประชาชนทั่วไปที่เข้ามาในมหาวิทยาลัยแบบที่เห็นในภาพ)..จนถึงทุกวันนี้ก็กว่า 4 เดือนเข้าไปแล้ว.. นั้น..

ยังจะต้องประเมินผลงานอะไรให้ยุ่งยากวุ่นวายด้วยวิธีการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน และใช้ทั้งเวลา กำลังคน กำลังเงิน..ให้เปลืองงบประมาณของชาติอย่างมากมายแบบที่คณะกรรมการประเมินฯ ชุดต่าง ๆ ทั้งที่มาจากส่วนกลาง และ มาจากภายในมหาวิทยาลัยด้วยกันเอง..ได้ทำกันอยู่แบบเดิม ๆ ในทุกวันนี้.. อีกหรือครับ ??

 

ยังประเมินกันไม่เป็น ดูกันไม่ออก และยังไม่รู้ ผล ของการประเมินในแทบจะทันทีอีกหรือครับ ?? 

 

ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ที่เห็นผลงานการจัดการศึกษาของราชภัฏสกลนครแบบนี้แล้วก็สามารถประเมินออกมาด้วยภาษาง่าย ๆ แบบชาวบ้านได้เลย ว่า

 

เจริญขึ้น หรือ เสื่อมถอยลงเหว.. !!

 

และใคร ๆ ก็บอกผลคำตอบการประเมินฯนี้ได้ในทันใด โดยไม่ต้องเสียเวลาลงทุน ลงแรง ผลาญเงินผลาญทองไปมากมายอะไรกับการประเมินฯมหาวิทยาลัยที่มีผลงานย่ำแย่และล้าหลังสุด ๆ แบบนี้เลยครับ.

 

100_5829

 

อีกความคิดต่อมา..เกี่ยวกับเรื่องการประเมินฯอธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ประจำปี 2554 ของ คณะกรรมการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลงาน ของมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร

 

ก็คือ

 

(ติดตามต่อได้..ในตอนหน้าครับ)   l